วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรียนรู้ชีวิตผ่านพระคริสต์

  ในปีที่ผ่านมา บางคนอาจจะประสบกับปัญหาชีวิตในด้านต่างๆ
 อาจเป็นเรื่องความผิดพลาด ทำให้เสียเงินเสียทอง เสียของรัก
 แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เราต้องไม่จมอยู่กับอดีตและลุกขึ้นเดินหน้าต่อไป 
แต่คนส่วนใหญ่ (รวมตัวผมเองด้วย) มักพบว่า การจะฝ่าปราการความทรงจำอันขมขื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ 
เลยไม่ใช่กับเฉพาะแค่คริสเตียนเท่านั้น แต่กับคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ ด้วย นั่นคือ วิธีการก้าวพ้นจากความขมขื่นในอดีต ในคำเทศนานั้น ศิษยาภิบาลได้บอกว่า เราไม่ควรยอมให้ตัวเราตกเป็นเหยื่อของอดีต...


เพราะอดีตนั้นเหมือนกับลูกระนาดที่เขาทำไว้บนถนนเพื่อต้องการให้รถชะลอความเร็วลงส่วนมากแล้วจะอยู่ตามบนถนนในหมู่บ้าน ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นตัวที่ขัดขวางเพื่อให้ชีวิตเราล่าช้าลง อดีตได้กลายเป็นกับดักที่ล่อลวงชีวิตของเราไม่ให้เดินหน้าต่อไปได้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีเขียนไว้ว่า
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือ ลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่ออยู่ข้างหน้า (ฟิลิปปี 3:13)
คำที่สำคัญมากๆ ในพระคัมภีร์ตอนที่ยกมานี้คือ “ลืมสิ่งที่ผ่านมา และโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” นั่นคือพลังแห่งการลืมอดีตที่ขมขื่นและเจ็บปวด (The Power of forgetting) ในปีใหม่นี้ เราต้องลืมสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว และชีวิตจำเป็นต้องเดินต่อไปข้างหน้า

อย่าดำรงชีวิตด้วยการมองหันหลังกลับตลอดเวลา เพราะถ้าเราทำแบบนั้นชีวิตเราในปีใหม่ก็คงจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเหมือนเดิม เพราะคงไม่มีใครสามารถหันหลังเดินเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าได้แน่ๆ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีถ้อยคำของพระเจ้าที่กล่าวไว้ชัดเจนถึงเรื่องนี้ในหนังสืออิสยาห์ 43:18-19 ว่า “จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว อย่าฝังใจกับอดีต ดูเถิด เรากำลังทำสิ่งใหม่! มันเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ? เรากำลังสร้างทางในถิ่นกันดาร และสายธารต่างๆ ในที่แห้งแล้ง”
สำหรับคริสเตียนแล้วข้อความตอนนี้หนุนใจเป็นอย่างมาก ถ้าเรายังยอมให้อดีตอันขมขื่นของเราเสียงดังกว่าพระสัญญาของพระเจ้า ทุกสิ่งในชีวิตเราก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนถูกกำหนดด้วยสิ่งที่เขาจดจ่ออยู่เป็นประจำ แต่ในพระสัญญาของพระเจ้าจากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในสายตาของมนุษย์ ให้เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทางในถิ่นกันดาร หรือทางออกในชีวิตที่ด้วยตัวเราเองแทบจะมองไม่เห็น หรือสายธารท่ามกลางแผ่นดินที่แห้งแล้ง ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า แต่สิ่งที่เราจะต้องลงมือทำก่อนก็คือ ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว อย่าฝังใจกับอดีต ให้มองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนกลับไปที่อดีต อย่ามัวแต่จ้องมองและร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับประตูบานที่ถูกปิดไปนานแล้ว พระเจ้าทรงเปิดประตูใหม่ให้เราอีกบานหนึ่งที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า และดีกว่าเดิม แต่เราก็ไม่เคยเหลียวมาดู เพราะยังจดจ่ออยู่กับอดีต กับประตูบานเก่า จงให้อภัยตัวเองและให้อภัยผู้คนที่ทำให้คุณขมขื่น เพื่อคุณจะได้ก้าวพ้นจากอดีตอันขมขื่นนั้น และเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่ดีกว่าที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับคุณ
จงจำไว้ว่า: สิ่งที่เกิดขึ้น “ภายใน” คุณ มีความสำคัญกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น “กับ” คุณ

1. จงดูจุดหมายที่พระเจ้าเตรียมให้คุณ : การดำเนินชีวิตไปข้างหน้า โดยไม่สนใจอดีตนั้น คุณต้องเพ่งความสนใจไปที่จุดหมายปลายทางที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับชีวิตของคุณ ซึ่งแน่นอนย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิม และจะทำให้คุณเกิดสันติสุขในใจมากกว่า ขอให้มีความเชื่อและมองไปที่จุดหมายปลายทางที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับคุณ
2. หยุดพูดถึงอดีตอันขมขื่น : ทุกครั้งที่คุณพูดถึงอดีตอันขมขื่นไม่ว่าจะพูดกับใครก็ตาม คุณกำลังทำการเสริมกำลังให้กับอดีตของคุณ คุณจะเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น และเสียงของอดีตก็จะดังขึ้นเรื่อยๆ ในสมองของคุณ จงหยุดพูดถึงอดีต
3. อย่าคิดหาทางแก้แค้น : ผู้คนอาจไม่ยุติธรรมต่อเรา แต่พระเจ้ายุติธรรมเสมอ ถ้าเราคิดแก้แค้นแสดงว่าเราไม่มั่นใจในพระเจ้า ในหนังสือโรม 12: 19 มีเขียนไว้ว่า “เพื่อนเอ๋ย อย่าแก้แค้น แต่จงปล่อยให้พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธ เพราะมีเขียนไว้ว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง” องค์พระผู้ป็นเจ้าตรัสดังนี้” ลองนึกเล่นๆ ดูนะว่า ถ้าเราต้องหยุดเดินทุกครั้งเพื่อทะเลาะกับสุนัขข้างถนนที่เห่าใส่เรา วันๆ เราคงเดินไปไม่ถึงจุดหมายหรือไปถึงช้ากว่ากำหนดแน่ๆ เราต้องเดินผ่านไปโดยไม่คิดแก้แค้นหรือเสียเวลาทะเลาะ เพราะนั่นเป็นการเปล่าประโยชน์
4. อยู่กับถ้อยคำพระเจ้า : อ่านพระคัมภีร์ ฟังซีดีเทศนา เมื่อคุณอยู่ติดสนิทกับถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้คุณลืมอดีตไปได้แต่ไม่ใช่ลืมไปได้เพราะกำลังของตัวคุณเอง แต่เป็นด้วยกำลังของพระเจ้าที่เข้าไปเติมเต็มในความคิดและจิตใจของคุณ ไม่ให้เหลือที่ว่างในการคิดคำนึงถึงเรื่องอดีต ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือ สดุดี 18:32 “พระเจ้านี่แหละ ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า ทรงกระทำให้หนทางของข้าพเจ้าดีพร้อม” และในหนังสือสดุดี 27: 1 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นความสว่าง และความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงกลัวผู้ใด? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่กำบังแข็งแกร่ง สำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องหวาดกลัวผู้ใด?”
5. อย่าหยุดหัวเราะ : ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไร อย่าลืมที่จะหัวเราะ หาอะไรทำก็ได้ที่จะทำให้คุณมีเสียงหัวเราะ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร เราก็ควรจะหัวเราะบ่อยๆ คนเราไม่ได้หยุดหัวเราะเพราะแก่ขึ้น แต่คุณจะดูแก่ขึ้นทันทีถ้าคุณหยุดหัวเราะ ในหนังสือสุภาษิต 17:22 มีเขียนไว้ว่า
“จิตใจที่เป็นสุขเป็นยาขนานเอก แต่วิญญาณที่ร้าวราน ทำให้ใจกายห่อเหี่ยว”
พระเจ้าต้องการให้เรามีความสุข และมีจิตใจที่เป็นสุข ดังนั้น จงหัวเราะบ่อยๆ อาจหาหนังตลกหรือกิจกรรมที่จะทำให้เราหัวเราะได้มาทำกันดูนะครับ เพื่อที่เราจะได้เอาชนะความทรงจำอันขมขื่นในอดีตให้ได้

เขียนโดย ชนัฐ เกิดประดับ (อ.บอม) คริสตจักรพระคุณเต็มล้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น