วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับค่ำคืนวันเสาร์ เข้าสู่เช้าวันอาทิตย์

วันนี้...ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงมาทันเวลาจริงๆ ก่อนที่จะทำสิ่งที่โง่เขลา
"เมื่อใจของข้าพระองค์ขมขื่น เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ
ข้าพระองค์เขลาและไม่รู้เรื่อง ข้าพระองค์ประพฤติตัวเหมือนสัตว์ต่อพระองค์" (สดด.73:21-22)

หลายๆครั้งที่เรายินยอมให้ความขมขื่นเพราะอะไรบางอย่าง หรือกับใครบางคนเข้ามาครอบงำความคิดของเรา แล้วเราก็กักขังตัวเองไว้ในความสงสารตัวเอง และเฝ้าถามหาความยุติธรรมอยู่ที่ไหน? แถมบางทีเราก็ทำอะไรอย่างสิ้นคิด ตามอารมณ์ ประชดประชัน น้อยอกน้อยใจ หรือโกรธ ... เราได้เขลาและทำไปอย่างไม่รู้เรื่อง ทำตัวตามสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ แบบว่า...พร้อมสู้เพื่อรักษาสัทธิ์ ในสภาวะเพื่อ "เอาตัวรอด" หรือคิดว่า "อดและทนมาพอแล้ว ขอทีเห่อะ...!"

เราได้ลืม "ความจริง" ว่าเราเป็นใคร? และเราได้ลืมว่า...พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด? ทรงอยู่ในเราแล้วในขณะนี้ ... และเราได้มอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้าทรงครอบครองแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่เราได้ตัดสินใจรับเชื่อ ฉะนั้น ...
"ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินโดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า" (กท.2:20)

ใช่...เราลืมความจริงนี้ไปแล้วจริงๆ ว่าเราได้มอบชีวิตนี้แด่พระเจ้าไปหมดแล้ว เราเชื้อเชิญพระองค์เข้ามาในชีวิตเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และขณะนี้...พระวิญญาณฯของพระเจ้าทรงประทับอยู่ภายในเรา ฉะนั้น...วันนี้ หากเรายินยอมให้ความขมขื่น ความเจ็บช้ำนั้นอยู่ในหัวใจของเรา และไม่ยอมจะให้อภัย หรือบางที...บางคนอาจจะคิดว่า "ไม่เป็นฉัน...ก็ไม่รู้สึกหรอกว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ 'มัน' คนนั้นได้ทำกับฉัน? และไม่รู้หรอกว่า "มัน" คนนั้นได้ทำอะไรกับฉันบ้าง?"

โอ...เราช่างเขลาจริงๆ มีสิ่งใดที่ปิดซ่อนจากพระเจ้าได้อีกหรือ? "พระเนตรของพระองค์เห็นข้าพระองค์ตั้งแต่ยังไม่เป็นรูปทรง วันทั้งสิ้นที่กำหนดให้ข้าพระองค์นั้นถูกบันทึกไว้ในหนังสือของพระองค์ตั้งแต่ยังไม่มีวันนั้นเลย" (สดด.139:16)

ไม่รู้หรือว่า การกระทำอย่างนั้น การคิดแบบนั้นเป็นการทำให้พระวิญญาณฯที่รักเรานั้นเสียพระทัย และเราก็ได้ทำให้การตายของพระคริสต์ไร้ค่าจริงๆ (อฟ.4:30-31)

และทำไมเราทำไม่ได้ อภัยไม่ได้ ก็เพราะว่าเราเอาแค่คิดถึงความเจ็บปวด และพูดเยินยอความเจ็บช้ำนั้นไม่เลิก เรากำลังยกเครดิตให้มันยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าของเราเสียอีก เราลืมแล้วหรือว่า... "เราได้ตายแล้วจากความรู้สึกเหล่านั้น" และบัดนี้เราก็มีชีวิตใหม่อยู่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้ และความเจ็บช้ำทั้งหลายก็เป็นเรื่องราวเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิตเรา ... ทำไม เราไม่เชื่อหรือว่าพระเจ้าทรงรักเรามากขนาดไหน ทรงสละพระบุตรองค์เดียวแก้วพระเนตรของพระองค์มาตายอย่างทรมานเพื่อไถ่เราจากความเจ็บปวดทั้งสิ้นในอดีต เพื่อที่เราจะมีชีวิตใหม่ในปัจจุบัน และเราจะสามารถสร้างวันพรุ่งนี้ให้เป็นอดีตที่สวยงามใหม่ของเราได้จริงๆ

จงเลิกยกย่องอดีตที่เจ็บปวด หันมายกย่องสรรเสริญพระเจ้าแทนดีกว่า รู้ไหม...คนที่เอาแต่ไปพรรณาถึงบาดแผลในอดีตที่เกิดเพราะบางสิ่งหรือกับใครบางคนไม่หยุดนั้น เขาเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ เพราะเขาชอบที่จะเป็น "นักโทษ" มากกว่าที่จะเป็น "อิสระ" จริงๆ

พูดไป บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ ... มีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และที่สำคัญคำพูดของเราในวันนี้ ไม่นานก็จะวนกลับมาทำร้ายเราเองเข้าสักวันแน่ๆ ... จงเข้ามายกย่องและสรรเสริญพระเจ้าดีกว่า อย่าลืมสิ...เราลูกใคร เราลูกพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ เรามีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรู (มาร) ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกเราได้เลย (ลก.10:19) หากว่าเราไม่ยินยอม เพราะ.."ทุกสิ่งที่เรากล่าวห้ามในโลก ก็จะถูกห้ามในสวรรค์ด้วย และสิ่งใดที่เรากล่าวอนุญาตในโลก ก็จะได้รับการอนุญาตในสวรรค์ด้วย" (มธ.16:19)

ว้าววววว...เรามีสิทธิอำนาจถึงเพียงนี้ แล้วเราเคยใช้บ้างหรือยัง? รู้ไหม...คนโง่ที่สุด คือ เมื่อรู้ว่าตัวเองมีอะไรในมือแต่ก็ไม่เคยใช้มันเพื่อประโยชน์ของตัวเองเลยยังไงละ?

วันนี้...เรายินยอมให้ความเจ็บปวด ขมขื่น การไม่ยอมให้อภัยนั้นอยู่ในเรา หรือเราสั่งมันว่า จงไปเสียให้พ้นไอ้ความเจ็บปวด ความขมขื่น และการไม่ให้อภัย...

อธิษฐานแบบนี้สิ...;
"เพราะบัดนี้ ข้าจะเริ่มต้นใหม่กับชีวิตใหม่ เพราะพระเจ้าพระบิดาของข้าได้สะสมสิ่งดีๆมากมายไว้รอข้าแล้ว และถึงเวลาแล้วที่ข้าจะทิ้งสิ่งเก่าเพื่อจะคว้าสิ่งใหม่ที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า ไม่ว่าจะอาชีพที่ดี ครอบครัวที่ดี สุขภาพที่ดี การเงินที่ดี การเรียนที่ดี คู่ชีวิตที่ดี คริสตจักรที่ดี พี่น้องที่ดี รถที่ดี และอื่นๆอีกที่ดีๆนับไม่ถ้วนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคนที่รักพระนามของพระองค์ ฉะนั้น...วันนี้ ข้าจะไม่ยอมให้อดีตที่เจ็บปวดมาฉุดรั้งข้าอีกต่อไป ข้าขอเลิกกับเอ็งไอ้ความเจ็บปวด ความขมขื่นและการไม่ให้อภัย จิตใจของข้าไม่มีที่ว่างสำหรับเอ็งอีกต่อไป และจงไปให้พ้นจากข้า อย่าได้กลับมาอีก เพราะนับจากนี้ข้าจะหันไปรักแต่พระเจ้าองค์เดียว และทุกพื้นที่ในหัวใจนี้มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ครอบครอง ... ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน"

แค่นี้...เสรีภาพที่แท้จริงก็เกิดขึ้นกับเราแล้วละ แล้ววันนี้..."เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้รับอาณาจักรที่ไม่สั่นสะเทือนแล้ว ก็ให้เรามีใจขอบพระคุณ โดยเหตุนี้เราจึงนมัสการอย่างที่ชอบพระทัยของพระเจ้า ด้วยความเคารพและด้วยความยำเกรง" (ฮบ.12:28)

และเชื่อสิ...การไปโบสถ์ของเราในวันนี้จะไม่เหมือนเดิม เมื่อเราได้พบพระคริสต์แล้วสิ่งสารพัดที่เก่าๆจะหลุดร่วงไป นี่แน่ะจะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น

พระเจ้าอวยพระพร นอนหลับฝันดีในอ้อมกอดแห่งพระคุณพระเจ้านะค่ะ
สรรเสริญพระเจ้าสำหรับค่ำคืนวันเสาร์ เข้าสู่เช้าวันอาทิตย์ 

วันนี้...ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงมาทันเวลาจริงๆ ก่อนที่ผมจะทำสิ่งที่โง่เขลา 
"เมื่อใจของข้าพระองค์ขมขื่น เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ 
ข้าพระองค์เขลาและไม่รู้เรื่อง ข้าพระองค์ประพฤติตัวเหมือนสัตว์ต่อพระองค์" (สดด.73:21-22)

หลายๆครั้งที่เรายินยอมให้ความขมขื่นเพราะอะไรบางอย่าง หรือกับใครบางคนเข้ามาครอบงำความคิดของเรา แล้วเราก็กักขังตัวเองไว้ในความสงสารตัวเอง และเฝ้าถามหาความยุติธรรมอยู่ที่ไหน? แถมบางทีเราก็ทำอะไรอย่างสิ้นคิด ตามอารมณ์ ประชดประชัน น้อยอกน้อยใจ หรือโกรธ ... เราได้เขลาและทำไปอย่างไม่รู้เรื่อง ทำตัวตามสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ แบบว่า...พร้อมสู้เพื่อรักษาสัทธิ์ ในสภาวะเพื่อ "เอาตัวรอด" หรือคิดว่า "อดและทนมาพอแล้ว ขอทีเห่อะ...!"

เราได้ลืม "ความจริง" ว่าเราเป็นใคร? และเราได้ลืมว่า...พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด? ทรงอยู่ในเราแล้วในขณะนี้ ... และเราได้มอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้าทรงครอบครองแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่เราได้ตัดสินใจรับเชื่อ ฉะนั้น ...
"ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินโดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า" (กท.2:20)

ใช่...เราลืมความจริงนี้ไปแล้วจริงๆ ว่าเราได้มอบชีวิตนี้แด่พระเจ้าไปหมดแล้ว เราเชื้อเชิญพระองค์เข้ามาในชีวิตเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และขณะนี้...พระวิญญาณฯของพระเจ้าทรงประทับอยู่ภายในเรา ฉะนั้น...วันนี้ หากเรายินยอมให้ความขมขื่น ความเจ็บช้ำนั้นอยู่ในหัวใจของเรา และไม่ยอมจะให้อภัย หรือบางที...บางคนอาจจะคิดว่า "ไม่เป็นฉัน...ก็ไม่รู้สึกหรอกว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ 'มัน' คนนั้นได้ทำกับฉัน? และไม่รู้หรอกว่า "มัน" คนนั้นได้ทำอะไรกับฉันบ้าง?" 

โอ...เราช่างเขลาจริงๆ มีสิ่งใดที่ปิดซ่อนจากพระเจ้าได้อีกหรือ? "พระเนตรของพระองค์เห็นข้าพระองค์ตั้งแต่ยังไม่เป็นรูปทรง วันทั้งสิ้นที่กำหนดให้ข้าพระองค์นั้นถูกบันทึกไว้ในหนังสือของพระองค์ตั้งแต่ยังไม่มีวันนั้นเลย" (สดด.139:16)

ไม่รู้หรือว่า การกระทำอย่างนั้น การคิดแบบนั้นเป็นการทำให้พระวิญญาณฯที่รักเรานั้นเสียพระทัย และเราก็ได้ทำให้การตายของพระคริสต์ไร้ค่าจริงๆ (อฟ.4:30-31)

และทำไมเราทำไม่ได้ อภัยไม่ได้ ก็เพราะว่าเราเอาแค่คิดถึงความเจ็บปวด และพูดเยินยอความเจ็บช้ำนั้นไม่เลิก เรากำลังยกเครดิตให้มันยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าของเราเสียอีก เราลืมแล้วหรือว่า... "เราได้ตายแล้วจากความรู้สึกเหล่านั้น" และบัดนี้เราก็มีชีวิตใหม่อยู่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้ และความเจ็บช้ำทั้งหลายก็เป็นเรื่องราวเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิตเรา ... ทำไม เราไม่เชื่อหรือว่าพระเจ้าทรงรักเรามากขนาดไหน ทรงสละพระบุตรองค์เดียวแก้วพระเนตรของพระองค์มาตายอย่างทรมานเพื่อไถ่เราจากความเจ็บปวดทั้งสิ้นในอดีต เพื่อที่เราจะมีชีวิตใหม่ในปัจจุบัน และเราจะสามารถสร้างวันพรุ่งนี้ให้เป็นอดีตที่สวยงามใหม่ของเราได้จริงๆ

จงเลิกยกย่องอดีตที่เจ็บปวด หันมายกย่องสรรเสริญพระเจ้าแทนดีกว่า รู้ไหม...คนที่เอาแต่ไปพรรณาถึงบาดแผลในอดีตที่เกิดเพราะบางสิ่งหรือกับใครบางคนไม่หยุดนั้น เขาเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ เพราะเขาชอบที่จะเป็น "นักโทษ" มากกว่าที่จะเป็น "อิสระ" จริงๆ 

พูดไป บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ ... มีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และที่สำคัญคำพูดของเราในวันนี้ ไม่นานก็จะวนกลับมาทำร้ายเราเองเข้าสักวันแน่ๆ ... จงเข้ามายกย่องและสรรเสริญพระเจ้าดีกว่า อย่าลืมสิ...เราลูกใคร เราลูกพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ เรามีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรู (มาร) ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกเราได้เลย (ลก.10:19) หากว่าเราไม่ยินยอม เพราะ.."ทุกสิ่งที่เรากล่าวห้ามในโลก ก็จะถูกห้ามในสวรรค์ด้วย และสิ่งใดที่เรากล่าวอนุญาตในโลก ก็จะได้รับการอนุญาตในสวรรค์ด้วย" (มธ.16:19)

ว้าววววว...เรามีสิทธิอำนาจถึงเพียงนี้ แล้วเราเคยใช้บ้างหรือยัง? รู้ไหม...คนโง่ที่สุด คือ เมื่อรู้ว่าตัวเองมีอะไรในมือแต่ก็ไม่เคยใช้มันเพื่อประโยชน์ของตัวเองเลยยังไงละ? 

วันนี้...เรายินยอมให้ความเจ็บปวด ขมขื่น การไม่ยอมให้อภัยนั้นอยู่ในเรา หรือเราสั่งมันว่า จงไปเสียให้พ้นไอ้ความเจ็บปวด ความขมขื่น และการไม่ให้อภัย...

อธิษฐานแบบนี้สิ...;
"เพราะบัดนี้ ข้าจะเริ่มต้นใหม่กับชีวิตใหม่ เพราะพระเจ้าพระบิดาของข้าได้สะสมสิ่งดีๆมากมายไว้รอข้าแล้ว และถึงเวลาแล้วที่ข้าจะทิ้งสิ่งเก่าเพื่อจะคว้าสิ่งใหม่ที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า ไม่ว่าจะอาชีพที่ดี ครอบครัวที่ดี สุขภาพที่ดี การเงินที่ดี การเรียนที่ดี คู่ชีวิตที่ดี คริสตจักรที่ดี พี่น้องที่ดี รถที่ดี และอื่นๆอีกที่ดีๆนับไม่ถ้วนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคนที่รักพระนามของพระองค์ ฉะนั้น...วันนี้ ข้าจะไม่ยอมให้อดีตที่เจ็บปวดมาฉุดรั้งข้าอีกต่อไป ข้าขอเลิกกับเอ็งไอ้ความเจ็บปวด ความขมขื่นและการไม่ให้อภัย จิตใจของข้าไม่มีที่ว่างสำหรับเอ็งอีกต่อไป และจงไปให้พ้นจากข้า อย่าได้กลับมาอีก เพราะนับจากนี้ข้าจะหันไปรักแต่พระเจ้าองค์เดียว และทุกพื้นที่ในหัวใจนี้มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ครอบครอง ... ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน"

แค่นี้...เสรีภาพที่แท้จริงก็เกิดขึ้นกับเราแล้วละ แล้ววันนี้..."เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้รับอาณาจักรที่ไม่สั่นสะเทือนแล้ว ก็ให้เรามีใจขอบพระคุณ โดยเหตุนี้เราจึงนมัสการอย่างที่ชอบพระทัยของพระเจ้า ด้วยความเคารพและด้วยความยำเกรง" (ฮบ.12:28)

และเชื่อสิ...การไปโบสถ์ของเราในวันนี้จะไม่เหมือนเดิม เมื่อเราได้พบพระคริสต์แล้วสิ่งสารพัดที่เก่าๆจะหลุดร่วงไป นี่แน่ะจะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น 

พระเจ้าอวยพระพร นอนหลับฝันดีในอ้อมกอดแห่งพระคุณพระเจ้านะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น