Intimacy ใกล้ชิดสนิทสนม
ถ้าคุณไม่เคยออกกำลังกายจนได้เหงื่อ จนร่างกายหลั่งเอนโดฟินออกมาคุณก็จะไม่ติดใจการออกกำลังกาย ถึงแม้จะรู้ว่าออกกำลังกายเป็นประจำนั้นมีผลดีอย่างไรก็ตาม บางคนต้องจ่ายเงินเป็นหมื่นบาทสมัครสมาชิกฟิตเนสชื่อดังเพื่อบังคับตัวให้ออกกำลังกายเป็นประจำแต่ไปจริงแค่ปีละไม่กี่ครั้งเอง ชีวิตฝ่ายวิญญาณเรื่องการใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้าก็เหมือนกันถ้าคุณไม่เคยสัมผัสกับการที่ได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าผู้เป็นที่รักของเรา ไม่เคยรู้สึกดีๆ อบอุ่นใจ คุณก็จะไม่เข้าใจว่าการอยู่ใกล้ชิดพระเจ้านั้นยอดเยี่ยม สุขใจเพียงไร คุณก็จะไม่ติดใจพระองค์ อยากใกล้ชิดพระองค์เรื่อยๆ อยากใกล้ชิดมากขึ้น เหมือนชายหญิงที่รักกัน อยากใกล้ชิดกันและกัน แค่นั่งจับมือกันก็สุขใจแล้ว ยามรักน้ำต้มผักก็หวาน เหมือนความรักของยาโคบรักนางราเชลยอมทำงานหนัก 7 ปีเพื่อให้ได้เธอ พระคัมภีร์บันทึกว่า.” เห็นเป็นน้อยวันเพราะเขารักเธอ “ ถ้าเรารู้สึกดีๆต่อพระเจ้าของเราแล้ว การเข้าใกล้พระองค์ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องของหัวใจปรารถนา พระคริสตธรรมคัมภีร์ก็บอกกับเราเชิงคำสั่งว่า
“ จงเข้าใกล้พระเจ้า แล้วพระเจ้าจะเข้าใกล้ท่าน Let us draw near to God , He will draw near to us”
เราเองต้องเข้าหาพระเจ้าก่อน แล้วอะไรเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่เข้าใกล้พระเจ้า ทั้งที่เราอยากเข้าใกล้พระเจ้า
3 ปัจจัยที่ทำให้เราไม่เข้าใกล้ชิดพระเจ้า
1.ความคิดจอมปลอม การโกหกหลอกลวงจากซาตาน คำโกหกยอดนิยมที่ซาตานใส่เข้ามาในความคิดของคริสเตียนเสมอๆ คือ พระเจ้าไม่ได้รักคุณ พระเจ้าไม่ชอบคุณ พระเจ้าเกลียดคุณ พระเจ้ารักคนอื่นมากกว่า ถ้าเราสะสมคำโกหกนี้ไว้ในความคิด เราจะมีพฤติกรรมที่ถดถอย เราจะพยายามทำดี พยามยามรับใช้ทำให้พระเจ้าพอใจ เราจะเหนื่อยมากับการทำงานหนัก รู้สึกทำเท่าไรดูเหมือนว่าเรายังไม่ใช่คนโปรดของพระเจ้า
2. ขาดประสบการณ์ พบกับพระเจ้า experience GOD เราต้องพบกับพระเจ้าด้วยตัวของเราเอง นอกจากการรับการอธิษฐาน หรือ รับพันธกิจเพื่อการเยี่ยวยารักษา เราต้องพบพระเจ้าในชีวิตส่วนตัวของเรา เวลาอยู่คนเดียว ที่บ้าน ที่ทำงาน ในรถ แล้วเราจะพบพระเจ้ากี่ครั้งถึงพอ เราจะใกล้ชิดคนที่เราไม่เคยพบได้อย่างไร พระเยซูเคยพูดกับฟารีซายว่า “ท่านทั้งหลายค้นในพระคัมภีร์คิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ แต่ท่านไม่มาหาเราเพื่อจะจะได้ชีวิต
3.ขาดการเปิดเผยสำแดง Revelation .” ขาดการเปิดเผยสำแดง ว่าพระเจ้า ทรงเสาะหาเรา พระเจ้าต้องการเรา พระเจ้าชอบเรา “ ขาดการเปิดเผยสำแดงว่า พระเจ้าคือผู้ใด ถ้าเรารู้จักพระองค์ เราก็จะปรารถนาพระองค์ ไม่มีใครไม่อยากอยู่ใกล้คนที่รักเราฉันใด ถ้าเรารับการเปิดเผยสำแดงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเราอยากจะเข้าใกล้พระองค์เอง สุดยอดของการเปิดเผยสำแดงคือการสำแดงให้เรารู้จักพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร คิด และรู้สึกต่อเราอย่างไร .”พระจ้าชอบเรามาก แม้ว่าเราจะไม่เคยทำอะไรที่สมควร.” พระบิดาบอกพระเยซูว่า “ เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก “ ก่อนที่พระเยซูจะรับใช้ พระบิดาประกาศว่า เราเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ นี่คือการเปิดเผยสำแดงที่พระองค์อยากให้กับผู้เชื่อ คือ เราคือคนโปรดของพระเจ้าแม้เราไม่เคยทำอะไรให้พระองค์เลย แม้เราจะไม่รับใช้ เราคือคนโปรด ก่อนที่เราจะรู้เสียอีก เพียงเสียงเรียกของเรา เพียงเราเข้ามาหาพระองค์ หัวใจของพระองค์ก็พองโต หัวใจของพระองค์ก็ยินดี เพราะพระลักษณะเด่นของพระเจ้านั้นเต็มไปด้วยความยินดี GOD of Gladness ทำไม่พระองค์ให้เราเข้าหาพระองค์ก่อน เพราะพระองค์ต้องการ”ใจสมัคร .” แสดงความเต็มใจในการเลือกพระองค์ แท้จริงแล้วพระองค์ทรงเสาะหาเรา เหมือนพระองค์ทรงทิ้งฟ้าสวรรค์ ลงมาเป็นบุตรมนุษย์ มาสื่อสาร มาสำแดง ว่าพระองค์ผู้ทรงรักเราเพียงใด ….
การเปิดเผยสำแดง พระลักษณะของพระเจ้า เชิงสัมพันธภาพ 2 แบบ
พระเจ้าทรงเป็น พระบิดา God as Father ที่รัก เอื้ออาธรณ์ ห่วงใย พระองค์มีสัมพันธภาพแบบพ่อแม่ที่เป็นผู้ให้ ผู้เลี้ยงดู ไม่ว่าลูก(ผู้เชื่อ)จะเป็นอย่างไรก็รักลูกเสมอ การเปิดเผยสำแดงนี้เองที่เป็นรากฐานของความเข้าใจเรื่องการบำบัดภายใน ความรักอันอบอุ่นของพระบิดาเยียวยาเรา รักษาบาดแผลที่เราได้รับจากพ่อแม่ในวัยเด็กของเรา
พระเจ้าทรงเป็นคนรัก God as Lover องค์เจ้าบ่าว ที่ปรารถนาสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งห่วงหาอาธรณ์ เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ไม่ยอมให้เราเป็นของพระอื่นหรือสิ่งอื่น รักเราทั้งที่เราไม่นารัก จำความผิดเราไม่ได้ ทั้งรักทั้งผูกพัน พระคัมภีร์ให้ความคิดของการ “ เทียมแอก “ “ร่วมครอบครอง” พระเยซูไม่ต้องการแค่ไถ่เรา ยกโทษบาปให้เราเท่านั้น พระองค์ต้องการสร้างเราให้เป็น เจ้าสาวที่คู่ควรที่จะครอบครองร่วมกับพระองค์ เพราะเราจะได้ครอบครองโลกกับพระองค์อย่างบริบูรณ์จริงๆในยุคพันปี พระองค์จึงใช้เวลาเตรียมเจ้าสาวของพระองค์ให้พร้อม ให้รักพระองค์ด้วยใจสมัคร
จากปฐมกาลบทที่1 ..2 พระเจ้าทรงสร้างโลกนี้อย่างงดงาม สมบูรณ์แบบ แผ่นดิน ท้องทะเล ท้องฟ้า ต้นไม้ ธรรมชาติงดงาม สัตว์นานาพันธ์ อาหารบริบูรณ์ ไม่มีมลภาวะ ไม่มีความขาดแคน มีความสุข อาดัมคุยกับพระเจ้าในสวน อาดัมปกครองแผ่นดินโลกและสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก แต่ในท่ามกลางความสมบูรณ์แบบนั้นเอง อาดัมและเอวาได้เลือกปฎิเสธพระเจ้าด้วยการกินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม วันนั้นที่อาดัมได้กินผลไม้ แน่นอนพระเจ้าทรงเห็น และพระองค์รู้แล้วว่าวันหนึ่งพระองค์จะมีคนที่จะเลือกพระองค์ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไร พระเจ้าไม่ไช่แค่เตรียมแผนการไถ่ให้เรารอดจากบาปและผลของบาปเท่านั้นพระองค์ พระองค์ต้องการสร้างมนุษย์ใหม่ที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ เป็นเจ้าสาวที่รู้ใจเจ้าบ่าว เป็นคนที่ได้รับการไถ่ที่ไม่ใช่แค่รอดจากบาปแต่รู้ใจพระเจ้า รักพระเจ้า และเลือกพระองค์เสมอ พระเจ้ากำลังพามนุษย์มุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง ปลายทางของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ ปรากฏในหนังสือ วิวรณ์บทที่ 19 คือ งานมงคลสมรสของพระเมษโปดก ( แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง เตรียมงานมงคลสมรสให้บุตรของพระองค์ มัดธาย 24) เราผู้ที่พระเจ้าไถ่ไว้ กำลังเดินทางสู่งานมงคลสมรสที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ ขณะนี้พระองค์กำลังเตรียมเจ้าสาวของพระองค์ให้คู่ควร ให้ครอบครอง เคียงคู่กับพระองค์ มั่นใจในความรักของพระเจ้าเสมอในทุกสถานการณ์ของชีวิต ในยามทุกข์ ในยามสุข ในความมั่งคั่ง และ ยากจน และในท้ายสุดของหนังสือวิวรณ์บอกว่า .” พระวิญญาณ และ เจ้าสาว บอกว่า เชิญมาเถิด “ วันหนึ่งเจ้าสาวและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นหนึ่งเดียวกัน ร้องเชิญพระเยซู “ เชิญมาเถิด” …….
ให้เรามาพิจารณารายละเอียด ในบทเพลงโซโลมอน ที่เป็นหนังสือที่จะช่วยให้เราเข้าใจพระเจ้าอย่างที่พระเจ้าเป็น รายละเอียดในหนังสือนี้ จะเปิดเผยให้เรารู้จัก อารมณ์ความรู้สึกของพระเจ้า ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
การใกล้ชิดสนิทสนมพระเจ้า เป็นการเดินทางที่พัฒนาได้ด้วยการเปิดเผยสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ต้องสะสม เพิ่มพูนด้วยประสบการณ์พบพระเยซูมากขึ้นๆ พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านวิกฤตการณ์ของชีวิต ทั้งความรู้สึกลบที่มีต่อตัวเอง อัตลักษณ์ที่ผิดๆ มองตัวเองด้วยความคิดของโลกนี้ เช่นค่าของเราอยู่ที่การรับใช้ อยู่ที่ผลงาน ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน พระเจ้าพาเราผ่านวิกฤติการณ์ของชีวิต ขณะที่พระเจ้ากำลังเขย่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ทุกอย่างรอบตัวเราสั่นไหว แต่ พระเจ้าจะพาเราเข้าไปสู่ที่ที่ไม่สั่นไหว ที่ที่มั่นคง ในความรักอันมั่นคงของพระองค์ พระเจ้าจะพัฒนาชีวิตการนมัสการภายในของเรา เมื่อเราพบพระองค์ลึกซึ้งมากขึ้น การนมัสการของเราถูกปลุกเร้าจากการที่เราได้พบพระองค์ ด้วยการเปิดเผยสำแดง เราเห็นพระองค์ เราจะรู้สึกว่าพระองค์ยอดเยี่ยม ประเสริฐ ล้ำเลิศ เหมือน “ พระองค์ทรงล้ำเลิศเหนือ หมื่นๆคน ที่รักของฉัน เขาเป็นเอกในท่ามกลางหมื่นๆคน … (ซลม 5:10)
พระเจ้ามองดูเจ้าสาวของพระองค์ ไม่ว่าตอนนี้จะอ่อนแอ ไม่บริสุทธ์ ยังไม่งดงามเพียงใด พระองค์มองเราไปที่อนาคตข้างหน้า “ ที่รักของฉันเอ๋ย ….. แม่เป็นสง่าน่าคร้ามเกรงดุจกองทัพมีธงประจำ…..”( ซลม 5:4 )
พระเจ้าทรงมุ่งมั่น ทุ่มเทที่จะตกแต่งให้เจ้าสาวของพระองค์ งดงาม ครอบครอง คู่ควรกับองค์เจ้าบ่าว เราไม่ยืนอยู่บนความมุ่งมั่นของเราแต่บนความมุ่งมั่นของพระองค์ผู้เป็นที่รักยิ่ง และจะไม่ปล่อยเราไปตามยถากรรม เพียงแต่ ให้เราเข้าใกล้พระเจ้า……………..แล้วพระองค์จะเข้าใกล้ท่าน แน่นอน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่อยู่ใกล้ ไม่ใช่พระเจ้าที่อยู่ไกล พระเจ้าคิดถึงท่าน คิดถึงมากกกกกกกกกกก พระเจ้าทรงเสาะหาเรา……แม้เราไม่เคยคิดที่จะแสวงหาพระองค์ เมื่อเราพบพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็จะคิดถึงพระองค์ “ เหมือน ดาวิด บอกว่า คร่ำครวญคิดถึงพระเจ้า แม้บนที่นอน ……..สดด )
พระคัมภีร์ได้ให้ความเข้าใจเรื่อง ใกล้ชิดสนิทสนมในหลายตอนทั้งพระคัมภีร์เดิมและใหม่ ในหนังสือโฮเชยาพระเจ้าทรงใช้โฮเชยาไปรับหญิงที่นอกใจเขาให้กลับมาเป็นภรรยา เพื่อสอนใจคนอิสราเอลว่าแม้เขานอกใจพระยาเวห์พระองค์ก็ทรงรักเขา หนังสือบทเพลงโซโลมอนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่บรรยายว่าพระเจ้าปรารถนาให้เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์เหมือนคนรัก เหมือนกษัตริย์โซโลมอนรักหญิงชาวชูเนม ที่ได้บรรยายถึงความรู้สึกของเจ้าบ่าวที่มีต่อเจ้าสาวที่จะเปลี่ยนความคิดของเราไปเลย ว่า นี่คือความคิด ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเราจริงๆนะเนี่ย!
การเริ่มต้นของบทเพลงรักนี้คือการเปิดเผยสำแดง ( ขอจุมพิตฉัน…..การแตะต้องสัมผัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ) สัมผัสแรกจากพระวิญญาณทำให้รู้รสความรักของพระเจ้า (ซลม 1:2)
2ขอเขาจุบดิฉัน ด้วยจุบจากปากของเขา เพราะว่าความรักของเธอดีกว่าเหล้าองุ่น
บทเพลงโซโลมอนให้ความเข้าใจว่า นี่คือวิถีชีวิต วิถีแห่งปัญญา ทีนำสู่ชีวิตที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ ( A path of wisdom to authoritative Intimacy) ที่ไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืนแต่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้เชื่อ/เจ้าสาวได้พบกับพระเจ้าของเธอ แม้เมื่อเธอเริ่มพบกับวิกฤตกาลในชีวิตครั้งแรก “ถึงฉันจะดำ ก็ดำขำ” ปัญหาที่ผู้เชื่อ/เจ้าสาวรู้สึกว่าตัวเองบกพร่อง ไม่งามหมดจด ตัวดำ ไม่สวย ปัญหาใหญ่เมื่อเรามองดูตัวเองด้วยสายตาของมนุษย์เราจะไม่ชอบตัวเราเลย แต่เมื่อพบกับพระองค์ผู้เป็นองค์เจ้าบ่าวของเราแล้วพระองค์ทรงบอกว่าเรางดงาม เรางาม และด้วยสายตาที่พระองค์มองดูเรา เราเชื่อ เราก็เข้าหา เข้าใกล้พระเจ้าได้โดยไม่ต้องงามก่อน พระองค์ทรงรักเราทั้งที่เราดำ มีตำหนิ อ่อนแอ ขี้ท้อใจ ซึมเศร้าง่าย พระองค์ทรงรักเจ้าสาวคนนี้แหละ ด้วยความรักนี้พระองค์ทรงพาเราไปที่งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ( ซลม2 ) พาเราให้ดื่มด่ำในความรักของพระองค์ สัมผัสในความรักของพระเจ้าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ การที่จะรู้สึกว่ามีใครสักคนรักเรา รักเรา ช่างเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตได้วิเศษอะไรเช่นนี้ เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่า เรามั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ยิ่งได้ใช้เวลาอยู่กับพระองค์ก็ได้รู้จักพระองค์มากขึ้น ดังคำที่เขียนไว้ว่าได้ลิ้มรสหวาน… (ซลม 2:2-3)
ดอกพลับพลึงท่ามกลางต้นกระชับนั้นอย่างไร ที่รักของฉันก็อยู่เด่นในท่ามกลางสาวอื่นๆอย่างนั้น
ต้นท้อขึ้นอยู่กลางต้นไม้ป่าอย่างไร ที่รักของดิฉันก็อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มอื่นๆอย่างนั้น
ดิฉันอยากนั่งอยู่ใต้ร่มของเขา และผลของเขา ดิฉันได้ลิ้มรสหวาน
องค์เจ้าวบ่าวของเราอยากให้เรารู้จักกับความรักของพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงพาเราออกไปยังที่ที่เราไม่คุ้นเคย (out of comfort zone) ในบทที่สาม เมื่อเจ้าสาวได้พรัดพรากจากเจ้าบ่าวอันเป็นที่รัก เดินสู่ สงครามฝ่ายวิญญาณในบทที่ สี่ และเดินสู่คำคืนที่มืดมิดและยาวนาน องค์เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวสู่ช่วงเวลาที่เจ็บปวดดูเหมือนไม่มีทางออก (dark night of soul) และในที่สุด เจ้าสาวก็ออกมาจากถิ่นทุรกันดาร ผ่านศึกสงครามอย่างมีชัยชนะ (ซลม 6:4,10) 4ที่รักของฉันเอ๋ย แม่ช่างสวยงามประหนึ่งเมืองทีรซาห์ และงามเย็นตาดังเยรูซาเล็ม แม่เป็นสง่าน่าคร้ามเกรงดังกองทัพ 5ขอเบือนเนตรไปจากฉันเถอะ
เพราะว่าฉันแพ้นัยน์ตาของเธอแล้ว …..10“แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ เมื่อมองลงก็ดังอรุโณทัย
แจ่มจรัสดังดวงจันทร์ กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน สง่าน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ การเดินกับองค์เจ้าบ่าวผ่านร้อนผ่านหนาวทำให้เธองดงามเข้มแข็ง และเจ้าสาวพูดอย่างมั่นใจ 7:10 ว่า ตัวดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของที่รักของดิฉัน และความปรารถนาของเขาก็เจาะจงเอาตัวดิฉัน
เจ้าสาวเดินใกล้ชิดกับองค์เจ้าบ่าว เธอมีชัยชนะดุจกองทัพที่ผ่านศึกสงคราม เดินออกมาจากถิ่นทุรกันดารอิงแอบแนบพระองค์ผู้เป็นที่รักยิ่ง เพราะความรักมากมายที่เธอได้รับเธอไม่กลัวอนาคตอีกต่อไป ดัง ซลม 8:5-10
แม่คนนี้ที่ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดาร อิงแอบแนบมากับคู่รัก คือใครที่ไหนหนอ
ดิฉันได้ปลุกเธอเมื่อเธออยู่ใต้ต้นท้อ ที่นั่นแหละที่มารดาของเธอได้ปวดร้าวเพราะเธอ
ที่ตรงนั้นแหละผู้ที่คลอดเธอได้เจ็บครรภ์
จงแนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียว ดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ
เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย
และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
7น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลัก ตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้น มาแลกกับความรักนั้น
คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคน ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
บทเพลงโซโลมอนช่วยให้เราอยู่ใกล้พระเจ้า สนิทสนมกับพระองค์ เดินกับพระองค์ด้วยความมั่นใจในความรักของพระองค์ ไว้วางใจในการนำของพระองค์ พระองค์จะสอนเราให้ทำสงครามด้วยสิทธิอำนาจ ให้เราเป็นเจ้าสาวที่คู่ควรเทียมแอกกับพระองค์ ที่ความรัก ไฟรักร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
บทเพลงโซโลมอน คล้ายกับ คำอธิษฐานของพระเยซู ( ยฮ 17 : 24-26 ) “อยู่ในที่พระเยซูอยู่…………ให้ความรักที่พระบิดารักพระเยซูอยู่ในผู้เชื่อ ……….” ถ้าเพียงแต่เราได้อยู่กับพระองค์เราก็จะซาบซึ้งในความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา ดังคำอธิษฐานของ อ.เปาโลเพื่อคริสตจักรเอเฟซัสให้ซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า… เพื่อเราจะรับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ( อฟซ 3) หนุนใจให้เราใช้พระคัมภีร์นี้มาอธิษฐานในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มจาก อฟซ 1 :17..ขอการเปิดเผยสำแดง ……….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น