วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรียนรู้ชีวิตผ่านพระคริสต์

  ในปีที่ผ่านมา บางคนอาจจะประสบกับปัญหาชีวิตในด้านต่างๆ
 อาจเป็นเรื่องความผิดพลาด ทำให้เสียเงินเสียทอง เสียของรัก
 แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เราต้องไม่จมอยู่กับอดีตและลุกขึ้นเดินหน้าต่อไป 
แต่คนส่วนใหญ่ (รวมตัวผมเองด้วย) มักพบว่า การจะฝ่าปราการความทรงจำอันขมขื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ 
เลยไม่ใช่กับเฉพาะแค่คริสเตียนเท่านั้น แต่กับคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ ด้วย นั่นคือ วิธีการก้าวพ้นจากความขมขื่นในอดีต ในคำเทศนานั้น ศิษยาภิบาลได้บอกว่า เราไม่ควรยอมให้ตัวเราตกเป็นเหยื่อของอดีต...


เพราะอดีตนั้นเหมือนกับลูกระนาดที่เขาทำไว้บนถนนเพื่อต้องการให้รถชะลอความเร็วลงส่วนมากแล้วจะอยู่ตามบนถนนในหมู่บ้าน ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นตัวที่ขัดขวางเพื่อให้ชีวิตเราล่าช้าลง อดีตได้กลายเป็นกับดักที่ล่อลวงชีวิตของเราไม่ให้เดินหน้าต่อไปได้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีเขียนไว้ว่า
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือ ลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่ออยู่ข้างหน้า (ฟิลิปปี 3:13)
คำที่สำคัญมากๆ ในพระคัมภีร์ตอนที่ยกมานี้คือ “ลืมสิ่งที่ผ่านมา และโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” นั่นคือพลังแห่งการลืมอดีตที่ขมขื่นและเจ็บปวด (The Power of forgetting) ในปีใหม่นี้ เราต้องลืมสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว และชีวิตจำเป็นต้องเดินต่อไปข้างหน้า

อย่าดำรงชีวิตด้วยการมองหันหลังกลับตลอดเวลา เพราะถ้าเราทำแบบนั้นชีวิตเราในปีใหม่ก็คงจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเหมือนเดิม เพราะคงไม่มีใครสามารถหันหลังเดินเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าได้แน่ๆ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีถ้อยคำของพระเจ้าที่กล่าวไว้ชัดเจนถึงเรื่องนี้ในหนังสืออิสยาห์ 43:18-19 ว่า “จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว อย่าฝังใจกับอดีต ดูเถิด เรากำลังทำสิ่งใหม่! มันเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ? เรากำลังสร้างทางในถิ่นกันดาร และสายธารต่างๆ ในที่แห้งแล้ง”
สำหรับคริสเตียนแล้วข้อความตอนนี้หนุนใจเป็นอย่างมาก ถ้าเรายังยอมให้อดีตอันขมขื่นของเราเสียงดังกว่าพระสัญญาของพระเจ้า ทุกสิ่งในชีวิตเราก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนถูกกำหนดด้วยสิ่งที่เขาจดจ่ออยู่เป็นประจำ แต่ในพระสัญญาของพระเจ้าจากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในสายตาของมนุษย์ ให้เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทางในถิ่นกันดาร หรือทางออกในชีวิตที่ด้วยตัวเราเองแทบจะมองไม่เห็น หรือสายธารท่ามกลางแผ่นดินที่แห้งแล้ง ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า แต่สิ่งที่เราจะต้องลงมือทำก่อนก็คือ ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว อย่าฝังใจกับอดีต ให้มองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนกลับไปที่อดีต อย่ามัวแต่จ้องมองและร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับประตูบานที่ถูกปิดไปนานแล้ว พระเจ้าทรงเปิดประตูใหม่ให้เราอีกบานหนึ่งที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า และดีกว่าเดิม แต่เราก็ไม่เคยเหลียวมาดู เพราะยังจดจ่ออยู่กับอดีต กับประตูบานเก่า จงให้อภัยตัวเองและให้อภัยผู้คนที่ทำให้คุณขมขื่น เพื่อคุณจะได้ก้าวพ้นจากอดีตอันขมขื่นนั้น และเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่ดีกว่าที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับคุณ
จงจำไว้ว่า: สิ่งที่เกิดขึ้น “ภายใน” คุณ มีความสำคัญกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น “กับ” คุณ

1. จงดูจุดหมายที่พระเจ้าเตรียมให้คุณ : การดำเนินชีวิตไปข้างหน้า โดยไม่สนใจอดีตนั้น คุณต้องเพ่งความสนใจไปที่จุดหมายปลายทางที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับชีวิตของคุณ ซึ่งแน่นอนย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิม และจะทำให้คุณเกิดสันติสุขในใจมากกว่า ขอให้มีความเชื่อและมองไปที่จุดหมายปลายทางที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับคุณ
2. หยุดพูดถึงอดีตอันขมขื่น : ทุกครั้งที่คุณพูดถึงอดีตอันขมขื่นไม่ว่าจะพูดกับใครก็ตาม คุณกำลังทำการเสริมกำลังให้กับอดีตของคุณ คุณจะเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น และเสียงของอดีตก็จะดังขึ้นเรื่อยๆ ในสมองของคุณ จงหยุดพูดถึงอดีต
3. อย่าคิดหาทางแก้แค้น : ผู้คนอาจไม่ยุติธรรมต่อเรา แต่พระเจ้ายุติธรรมเสมอ ถ้าเราคิดแก้แค้นแสดงว่าเราไม่มั่นใจในพระเจ้า ในหนังสือโรม 12: 19 มีเขียนไว้ว่า “เพื่อนเอ๋ย อย่าแก้แค้น แต่จงปล่อยให้พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธ เพราะมีเขียนไว้ว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง” องค์พระผู้ป็นเจ้าตรัสดังนี้” ลองนึกเล่นๆ ดูนะว่า ถ้าเราต้องหยุดเดินทุกครั้งเพื่อทะเลาะกับสุนัขข้างถนนที่เห่าใส่เรา วันๆ เราคงเดินไปไม่ถึงจุดหมายหรือไปถึงช้ากว่ากำหนดแน่ๆ เราต้องเดินผ่านไปโดยไม่คิดแก้แค้นหรือเสียเวลาทะเลาะ เพราะนั่นเป็นการเปล่าประโยชน์
4. อยู่กับถ้อยคำพระเจ้า : อ่านพระคัมภีร์ ฟังซีดีเทศนา เมื่อคุณอยู่ติดสนิทกับถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้คุณลืมอดีตไปได้แต่ไม่ใช่ลืมไปได้เพราะกำลังของตัวคุณเอง แต่เป็นด้วยกำลังของพระเจ้าที่เข้าไปเติมเต็มในความคิดและจิตใจของคุณ ไม่ให้เหลือที่ว่างในการคิดคำนึงถึงเรื่องอดีต ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือ สดุดี 18:32 “พระเจ้านี่แหละ ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า ทรงกระทำให้หนทางของข้าพเจ้าดีพร้อม” และในหนังสือสดุดี 27: 1 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นความสว่าง และความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงกลัวผู้ใด? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่กำบังแข็งแกร่ง สำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องหวาดกลัวผู้ใด?”
5. อย่าหยุดหัวเราะ : ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไร อย่าลืมที่จะหัวเราะ หาอะไรทำก็ได้ที่จะทำให้คุณมีเสียงหัวเราะ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร เราก็ควรจะหัวเราะบ่อยๆ คนเราไม่ได้หยุดหัวเราะเพราะแก่ขึ้น แต่คุณจะดูแก่ขึ้นทันทีถ้าคุณหยุดหัวเราะ ในหนังสือสุภาษิต 17:22 มีเขียนไว้ว่า
“จิตใจที่เป็นสุขเป็นยาขนานเอก แต่วิญญาณที่ร้าวราน ทำให้ใจกายห่อเหี่ยว”
พระเจ้าต้องการให้เรามีความสุข และมีจิตใจที่เป็นสุข ดังนั้น จงหัวเราะบ่อยๆ อาจหาหนังตลกหรือกิจกรรมที่จะทำให้เราหัวเราะได้มาทำกันดูนะครับ เพื่อที่เราจะได้เอาชนะความทรงจำอันขมขื่นในอดีตให้ได้

เขียนโดย ชนัฐ เกิดประดับ (อ.บอม) คริสตจักรพระคุณเต็มล้น


วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผู้ชนะและผู้แพ้

วันนี้อ่านมานาประจำวัน
ตามปกติเหมือนทุกๆวัน
ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเช่นกัน
แต่ที่แน่ๆ มานาประจำวันนี้ หนุนใจตัวเองมาก


ผู้ชนะและผู้แพ้

อ่าน: 1 เปโตร 3:8-12
แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว – ฟีลิปปี 2:3  อ่านพระคำภีร์ภายใน 1 ปี อิสยาห์ 37-39

อิสยาห์ 37

1เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงได้ยินพระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์เสียและทรงเอาผ้ากระสอบคลุมพระองค์และเสด็จเข้าในพระนิเวศของพระเจ้า 2และพระองค์ทรงใช้เอลียาคิมผู้บัญชาการราชสำนักและเชบนาราชเลขาและปุโรหิตผู้อาวุโสคลุมตัวด้วยผ้ากระสอบไปหาอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะบุตรชายของอามอส 3เขาทั้งหลายเรียนท่านว่า"เฮเซคียาห์ตรัสดังนี้ว่าวันนี้เป็นวันทุกข์ใจวันถูกขนาบและอดสูเด็กที่ถึงกำหนดคลอดก็ไม่มีกำลังเบ่งให้คลอด4ชะรอยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านคงได้ยินถ้อยคำของรับชาเคห์ผู้ซึ่งพระราชาแห่งอัสซีเรียนายของเขาได้สั่งมาให้เย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และจะทรงขนาบถ้อยคำซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงสดับเพราะฉะนั้นก็ขอท่านถวายคำอธิษฐานเพื่อส่วนคนที่เหลืออยู่นี้" 5เมื่อข้าราชการของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์ 6อิสยาห์ก็บอกเขาทั้งหลายว่า"จงทูลนายของท่านเถิดว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่าอย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้นซึ่งข้าราชการของพระราชาของอัสซีเรียได้กล่าวหยาบช้าต่อเรา 7ดูเถิดเราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขาเพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือและกลับไปยังแผ่นดินของเขาและเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง" 8รับชาเคห์ได้กลับไปและได้พบพระราชาแห่งอัสซีเรียสู้รบเมืองลิบนาห์เพราะเขาได้ยินว่าพระราชาออกจากลาคีชแล้ว 9พระองค์ทรงได้ยินเกี่ยวกับทีรหะคาห์พระราชาแห่งเอธิโอเปียว่า"เขาได้ออกมาสู้รบกับพระองค์แล้ว"และเมื่อพระองค์ทรงสดับแล้วจึงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าเฮเซคียาห์ทูลว่า 10"เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ดังนี้ว่าอย่าให้พระเจ้าของท่านซึ่งท่านพึ่งนั้นลวงท่านว่าเยรูซาเล็มจะมิได้ถูกมอบไว้ในมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย 11ดูเถิดท่านได้ยินแล้วว่าบรรดาพระราชาแห่งอัสซีเรียได้กระทำอะไรกับประเทศทั้งสิ้นบ้างทำลายเสียหมดอย่างสิ้นเชิงส่วนท่านเองจะรับการช่วยกู้ให้พ้นหรือ12บรรดาพระของบรรดาประชาชาติได้ช่วยกู้เขาให้พ้นหรือคือประชาชาติซึ่งบรรพบุรุษของเราได้ทำลายคือโกเซนฮารานเรเซฟและประชาชนของเอเดนซึ่งอยู่ในเทลอัสสาร์ 13พระราชาของฮามัทพระราชาของอารปัดพระราชาของเมืองเสฟารวาอิมเฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน" 14เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือผู้สื่อสารและทรงอ่าน15และเฮเซคียาห์ได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้าและทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อพระพักตร์พระเจ้าและเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า 16"ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ทรงประทับเหนือเครูบพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลกพระองค์แต่องค์เดียวพระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 17ข้าแต่พระเจ้าขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับข้าแต่พระเจ้าขอทรงเบิกพระเนตรทอดพระเนตรและขอทรงฟังบรรดาถ้อยคำของเซนนาเคอริบซึ่งเขาได้ใช้มาเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ 18ข้าแต่พระเจ้าเป็นความจริงที่บรรดาพระราชาแห่งอัสซีเรียได้กระทำให้ประเทศทั้งสิ้นและแผ่นดินของเขานั้นร้างเปล่า19และได้เหวี่ยงพระของเขาเข้าไปในไฟเพราะเขามิใช่พระเป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์เป็นไม้และหินเพราะฉะนั้นเขาจึงถูกทำลายเสีย 20ฉะนั้นบัดนี้ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นมือของเขาเพื่อราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะทราบว่าพระองค์แต่พระองค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า" 21แล้วอิสยาห์บุตรอามอสได้ใช้ให้ไปเฝ้าเฮเซคียาห์ทูลว่า"พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่าเพราะเจ้าได้อธิษฐานต่อเราเกี่ยวกับเซนนาเคอริบพระราชาแห่งอัสซีเรีย 22ต่อไปนี้เป็นพระวจนะซึ่งพระเจ้าตรัสเกี่ยวกับท่านนั้นว่าธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนดูถูกเจ้าและเย้ยเจ้าธิดาแห่งเยรูซาเล็มสั่นศีรษะตามหลังใส่เจ้า 23เจ้าเย้ยและกล่าวหยาบช้าต่อผู้ใดเจ้าขึ้นเสียงของเจ้าต่อผู้ใดและเบิ่งตาของเจ้าอย่างเย่อหยิ่งต่อผู้ใดต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะซิ 24เจ้าได้เย้ยพระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้รับใช้ของเจ้าและเจ้าได้ว่าด้วยรถรบเป็นอันมากของข้าข้าได้ขึ้นที่สูงของภูเขาถึงที่ไกลสุดของเลบานอนข้าโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลงทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมันข้าเข้าไปยังที่ยอดลิบที่สุดของมันที่ป่าไม้ที่ทึบที่สุดของมัน 25ข้าขุดบ่อและดื่มน้ำข้าจะเอาฝ่าเท้าของข้ากวาดธารน้ำทั้งสิ้นของอียิปต์ให้แห้งไป 26เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเราได้จัดไว้นานแล้วเราได้กะแผนงานไว้แต่ดึกดำบรรพ์ซึ่งณบัดนี้เราให้เป็นไปแล้วคือเจ้าจะทำเมืองที่มีป้อมให้พังลงให้เป็นกองสิ่งปรักหักพัง 27ส่วนชาวเมืองนั้นถูกตัดมือตัดตีนก็แย่และอับอายและกลายเป็นเหมือนต้นไม้ที่ทุ่งนาและเหมือนหญ้าอ่อนเหมือนหญ้าที่บนยอดหลังคาเรือนเหมือนผักก่อนมันจะได้งอกงามอย่างนั้นหรือ 28แต่เราได้รู้จักการที่เจ้านั่งลงกับการออกไปและเข้ามาของเจ้าและการเกรี้ยวกราดของเจ้าต่อเรา 29เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเราและความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเราฉะนั้นเราจะเอาขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้าและบังเหียนของเราใส่ปากเจ้าและเราจะหันเจ้ากลับไปตามทางซึ่งเจ้ามานั้น 30"และนี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าคือปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเองและในปีที่สองสิ่งที่ผลิจากเดิมแล้วในปีที่สามจงหว่านและเกี่ยวและทำสวนองุ่นและกินผลของมัน 31ส่วนที่รอดและคนที่เหลืออยู่แห่งเชื้อวงศ์ของยูดาห์จะหยั่งรากลงไปและเกิดผลขึ้นบน32เพราะว่าส่วนคนที่เหลืออยู่จะออกไปจากเยรูซาเล็มและส่วนที่รอดมาจะออกมาจากภูเขาศิโยนความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้33"เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสเกี่ยวกับพระราชาแห่งอัสซีเรียดังนี้ว่าท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่นหรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านครหรือสร้างเชิงเทินสู้มัน 34ท่านมาทางใดท่านจะต้องกลับไปทางนั้นท่านจะไม่เข้ามาในนครนี้พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 35และเราจะป้องกันนครนี้ไว้เพื่อให้รอดเพื่อเห็นแก่เราเองและเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา"36ทูตของพระเจ้าได้ออกไปและได้ประหารคนในค่ายแห่งคนอัสซีเรียเสียหนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคนและเมื่อลุกขึ้นในเวลาเช้ามืดดูเถิดพวกเหล่านั้นเป็นศพทั้งนั้น 37แล้วเซนนาเคอริบพระราชาแห่งอัสซีเรียก็ได้ยกไปและกลับบ้านและอยู่ในนีนะเวห์ 38ขณะเมื่อท่านนมัสการในโบสถ์ของพระนิสโรกพระเจ้าของท่านอัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์โอรสของท่านก็ประหารท่านเสียด้วยดาบและหนีไปยังแผ่นดินอารารัตและเอสารฮัดโดนโอรสของท่านขึ้นครอบครองแทนท่าน

อิสยาห์ 38

1ครั้งนั้นเฮเซคียาห์ทรงประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์และทูลพระองค์ว่า"พระเจ้าตรัสดังนี้ว่าจงจัดการการบ้านการเมืองให้เรียบร้อยเจ้าจะต้องตายเจ้าจะไม่ฟื้น" 2แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝาและอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า 3"ข้าแต่พระเจ้าขอทรงระลึกถึงว่าข้าพระองค์ได้ดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และสิ้นสุดใจและได้กระทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์"และเฮเซคียาห์ทรงกันแสงมากยิ่ง 4แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงอิสยาห์ว่า 5"จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้าตรัสดังนี้ว่าเราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้วเราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้วดูเถิดเราจะเพิ่มชีวิตให้เจ้าสิบห้าปี 6เราจะช่วยกู้เจ้าและเมืองนี้จากมือของพระราชาอัสซีเรียและป้องกันเมืองนี้ไว้ 7นี่เป็นหมายสำคัญสำหรับฝ่าพระบาทจากพระเจ้าที่พระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งนี้ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ 8ดูเถิดเราจะกระทำให้เงาที่ดวงอาทิตย์ทอดมาบนนาฬิกาแดดของอาหัสย้อนกลับมาสิบขั้น"ดวงอาทิตย์ก็ได้ย้อนกลับบนนาฬิกาแดดสิบขั้นตามขั้นที่ได้ตกไป9บทประพันธ์ของเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์หลังจากที่พระองค์ได้ทรงประชวรและทรงฟื้นจากการประชวรของพระองค์นั้นมีว่า 10ข้าพเจ้าว่าเมื่อชีวิตของข้าพเจ้ามาถึงกลางคนข้าพเจ้าจะต้องพรากไปข้าพเจ้าถูกมอบไว้ที่ประตูแดนคนตายตลอดชีวิตบั้นปลายของข้าพเจ้า 11ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะไม่เห็นพระเจ้าในแผ่นดินของผู้มีชีวิตข้าพเจ้าจะมองไม่เห็นมนุษย์อีกที่ในหมู่ชาวแผ่นดินโลก 12ที่อยู่ของข้าพเจ้าถูกรื้อถอนออกไปจากข้าพเจ้าอย่างกับเต็นท์ของผู้เลี้ยงแกะข้าพเจ้าได้ม้วนชีวิตของข้าพเจ้าเหมือนอย่างคนทอผ้าพระองค์ทรงตัดข้าพเจ้าออกจากหูกพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงอวสานทั้งวันและคืน 13ข้าพเจ้าได้ถ่อมตัวลงจนรุ่งเช้าพระองค์ทรงหักกระดูกทั้งสิ้นของข้าพเจ้าเหมือนอย่างสิงห์พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงอวสานทั้งวันและคืน14ข้าพเจ้าร้องอย่างนกนางแอ่นหรือนกกรอดข้าพเจ้าพิลาปอย่างนกพิราบตาของข้าพเจ้าเหนื่อยอ่อนด้วยมองขึ้นข้างบนข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์ถูกบีบบังคับขอพระองค์ทรงเป็นผู้ประกันของข้าพระองค์ 15แต่ข้าพเจ้าจะพูดอะไรได้เพราะพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วและพระองค์เองได้ทรงกระทำเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ดำเนินไปด้วยความสงบเสงี่ยมตลอดชีวิตของข้าพเจ้าเพราะความขมขื่นแห่งจิตใจของข้าพเจ้า 16ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามนุษย์ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยสิ่งเหล่านี้และชีวิตแห่งวิญญาณของข้าพระองค์ก็อยู่ในสิ่งเหล่านี้ขอทรงให้ข้าพระองค์หายดีและขอทรงทำให้ข้าพระองค์มีชีวิต 17นี่แน่ะเพราะเห็นแก่สวัสดิภาพของข้าพระองค์ข้าพระองค์จึงมีความขมขื่นมากยิ่งแต่พระองค์ทรงรักชีวิตของข้าพระองค์ไม่ให้ตกหลุมแห่งความพินาศเพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระองค์ 18เพราะแดนคนตายโมทนาพระคุณพระองค์ไม่ได้ความมรณาสรรเสริญพระองค์ไม่ได้บรรดาคนที่ลงไปยังปากแดนคนตายนั้นจะหวังในสัจธรรมของพระองค์ไม่ได้ 19คนเป็นคนเป็นเขาโมทนาพระคุณพระองค์อย่างที่ข้าพระองค์กระทำในวันนี้บิดาได้สำแดงถึงสัจธรรมของพระองค์แก่ลูกของเขา20พระเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดและข้าพเจ้าทั้งหลายจะเล่นเครื่องสายของข้าพเจ้าตลอดวันเวลาแห่งชีวิตของข้าพเจ้าทั้งหลายที่พระนิเวศของพระเจ้า 21ฝ่ายอิสยาห์ได้กล่าวว่า"ให้เขาเอาขนมมะเดื่อมาแผ่นหนึ่งและแปะไว้ที่พระยอดเพื่อพระองค์จะฟื้น" 22เฮเซคียาห์ได้ตรัสด้วยว่า"อะไรจะเป็นหมายสำคัญว่าข้าพเจ้าจะได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า"

อิสยาห์ 39

1คราวนั้นเมโรดัคบาลาดันโอรสของบาลาดันพระราชาแห่งบาบิโลนทรงส่งราชสารและเครื่องบรรณาการมายังเฮเซคียาห์เพราะพระองค์ทรงได้ยินว่าเฮเซคียาห์ทรงประชวรและทรงหายประชวรแล้ว 2และเฮเซคียาห์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเขาเหล่านั้นและทรงพาเขาชมคลังทรัพย์ของพระองค์ชมเงินทองคำและเครื่องเทศและน้ำมันประเสริฐและคลังแสงของพระองค์ทุกอย่างซึ่งมีในท้องพระคลังไม่มีสิ่งใดที่ในพระราชวังหรือในราชอาณาจักรของพระองค์ซึ่งเฮเซคียาห์มิได้ทรงสำแดงแก่เขา 3แล้วผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์และทูลพระองค์ว่า"คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้างและเขามาแต่ไหนเข้าเฝ้าพระองค์"เฮเซคียาห์ตรัสว่า"เขาได้มาหาเราจากเมืองไกลจากบาบิโลน" 4ท่านทูลว่า"เขาเห็นอะไรในพระราชวังของพระองค์บ้าง"และเฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า"เขาเห็นทุกอย่างในวังของเราไม่มีสิ่งใดในพระคลังของเราซึ่งเรามิได้สำแดงแก่เขา" 5แล้วอิสยาห์ทูลเฮเซคียาห์ว่า"ขอทรงฟังพระวจนะของพระเจ้าจอมโยธา6ดูเถิดวันเวลากำลังย่างเข้ามาเมื่อสรรพสิ่งทั้งสิ้นในวังของเจ้าและสิ่งซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมจนถึงทุกวันนี้จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลนจะไม่มีสิ่งใดเหลือเลยพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ7และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาแก่เจ้าจะถูกนำเอาไปและเขาจะเป็นขันทีในวังของราชาแห่งบาบิโลน" 8แล้วเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า"พระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านกล่าวนั้นก็ดีอยู่"เพราะพระองค์ดำริว่า"จะมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในวันเวลาของเรานี้"
,

เมื่อการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลรอบเพลย์ออฟจบลง และทีมกรีนเบย์ แพคเกอร์ฉลองชัยชนะเหนือทีมชิคาโก แบร์ ลิซ่า ลูกสาวของผมสังเกตเห็นว่า เอเลียนนา ลูกสาววัย 4 ขวบของเธอกำลังร้องไห้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเนื่องจากพ่อแม่ของเอเลียนนาไม่ได้สนใจเป็นพิเศษว่าทีมไหนจะชนะ
ลิซ่าถามเอเลียนนาว่าร้องไห้ทำไม เธอตอบว่า “หนูสงสารทีมแบร์ค่ะ พวกเขาดูเศร้าจัง”
เราเรียนรู้เรื่องความเมตตาสงสารจากหนูน้อยที่ยังไม่เข้าโรงเรียนคนนี้ได้หรือไม่? ในโลกที่ให้ความสำคัญกับชัยชนะและผู้แพ้ถูกปฏิเสธถูกลืม และถูกดูหมิ่น เราต้องเตือนตัวเองว่าผู้คนต้องการความเมตตาสงสาร เมื่อเราเจอผู้คนซึ่งกำลังต่อสู้กับความพ่ายแพ้ เรายินดีที่จะร้องไห้กับเขา โอบกอด และยื่นมือช่วยเหลือหรือไม่?
พระคัมภีร์หลายตอนท้าทายเราให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาสงสารฟีลิปปี 2:1-3 บอกให้เราคิดถึงคนอื่น และเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นมากกว่าตัวเอง 1 เปโตร 3:8-12 ย้ำเตือนว่า ความเมตตาสงสารหมายถึง การปรนนิบัติซึ่งกันและกัน “ฉันพี่น้อง” และโคโลสี 3:12-15 กล่าวว่า ใจเมตตาใจปรานี และใจถ่อม เป็นเครื่องหมายของคนที่ได้รับการไถ่จากพระเจ้าแล้ว
ลองมองดูคนรอบตัวคุณ มีใครบ้างที่กำลังประสบกับความพ่ายแพ้? อย่าเพียงแค่รู้สึกสงสาร แต่จงสำแดงความเมตตาและความรักของพระเจ้าแก่พวกเขา – JDB
ขอดวงจิตคิดแต่กรุณา
มีวิญญาห่วงหาเอาใจใส่
ทั้งความคิดกิจวาจาคนใกล้ไกล
สัมผัสได้พระเมตตาของพระองค์ – Fitzhugh
มาตรวัดความเหมือนของเรากับพระคริสต์
ได้แก่ ความรู้สึกที่ไวต่อความทุกข์ของผู้อื่น 


ขอบคุณพระเจ้า ที่วันนี้ได้คำตอบจากพระองค์ในบางอย่างแล้ว
อาเมน

สะอาดหมดจด

อ่าน: 1 ยอห์น 1:1-10
ถ้าเราสารภาพบาปของเราพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น – 1ยอห์น1:9




เพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่าในปีที่ผ่านมาเขาต้องรับการบำบัดด้วยยาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาโรคมะเร็ง รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเป็นคำพยานอันทรงพลังถึงข่าวดีที่เขาเพิ่งได้รับเขากล่าวว่า ในการตรวจสุขภาพรอบหนึ่งปีหมอประกาศว่าผลการตรวจทุกอย่างล้วนบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า “คุณสะอาดหมดจด!” คำสองคำนี้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง! สำหรับเพื่อนของผมแล้ว คำว่าสะอาดหมดจดหมายถึง เชื้อโรคทุกตัวที่คุกคามชีวิตของเขาในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นได้ถูกขจัดออกไปจากร่างกายจนหมดสิ้นเราชื่นชมยินดีเมื่อได้ยินว่าเขาสะอาดหมดจดแล้ว!
หลังจากกษัตริย์ดาวิดทำผิดศีลธรรมกับนางบัทเชบา ก็ปรารถนาให้เกิดความสะอาดหมดจดในใจของท่าน ด้วยความหวังว่ามลทินบาปของท่านจะถูกลบล้างออกไป ท่านร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” (สดด.51:10) ข่าวดีสำหรับดาวิดและเราทุกคนก็คือ บาปของเราสามารถถูกกำจัดออกไปได้เมื่อเราต้องการการชำระ ถ้อยคำของยอห์นที่เราคุ้นเคยกันดีจะช่วยให้เรามีความหวัง “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยน.1:9)
เราไม่สามารถชำระใจของเราเองได้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ถ้าเราสารภาพบาปของเราต่อพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทำให้เราสะอาดหมดจด! – BC
โอพระเจ้าขอโปรดตรวจจิตใจข้า ทดลองว่าความคิดนั้นเป็นอย่างไร
หากพระองค์พบความชั่วใจมักใหญ่ ขอโปรดให้ทรงชำระสะอาดพลัน – Orr
การสารภาพบาปต่อพระเจ้า
จะนำมาซึ่งการชำระจากพระองค์เสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

True love but was unable to take care of it.


Love of yours, its sound tells me that you're concerned about me.
That hand of yours that touches my forhead during the days when I'm unwell.
Every scene, every episode, they never fade away even though they had passed by however long ago.
And every scene, every episode, that kept emphasising the thing that I became since losing you.
That I am a stupid person, more so than anyone else, having had true love but was unable to take care of it
Got to know it's value but then it's too late, broken-hearted, however much I thought of reverting the story, I'm able but only to dream.
Stick our picture, which was torn apart, back together.
But will our paths meet again? Or that I should accept it?
Because every scene, every episode, they never fade away even though they had passed by however long ago.
And every scene, every episode, that kept emphasising the thing that I became since losing you.
Tell me a little, just where there will be a door for me to revert to the nights and days,
that I had you; I'll take a good care of you, once again...
I am that stupid person, more so than anyone else, having had true love but was unable to take care of it.
Got to know it's value but then it's too late, broken-hearted, however much I thought of reverting the story, I'm able but only to dream.