วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

การทะลุทะลวงฝ่ายวิญญาณสู่การฟื้นฟู

Intimacy        ใกล้ชิดสนิทสนม
ถ้าคุณไม่เคยออกกำลังกายจนได้เหงื่อ จนร่างกายหลั่งเอนโดฟินออกมาคุณก็จะไม่ติดใจการออกกำลังกาย ถึงแม้จะรู้ว่าออกกำลังกายเป็นประจำนั้นมีผลดีอย่างไรก็ตาม  บางคนต้องจ่ายเงินเป็นหมื่นบาทสมัครสมาชิกฟิตเนสชื่อดังเพื่อบังคับตัวให้ออกกำลังกายเป็นประจำแต่ไปจริงแค่ปีละไม่กี่ครั้งเอง  ชีวิตฝ่ายวิญญาณเรื่องการใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้าก็เหมือนกันถ้าคุณไม่เคยสัมผัสกับการที่ได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าผู้เป็นที่รักของเรา  ไม่เคยรู้สึกดีๆ อบอุ่นใจ   คุณก็จะไม่เข้าใจว่าการอยู่ใกล้ชิดพระเจ้านั้นยอดเยี่ยม สุขใจเพียงไร   คุณก็จะไม่ติดใจพระองค์ อยากใกล้ชิดพระองค์เรื่อยๆ  อยากใกล้ชิดมากขึ้น   เหมือนชายหญิงที่รักกัน อยากใกล้ชิดกันและกัน  แค่นั่งจับมือกันก็สุขใจแล้ว   ยามรักน้ำต้มผักก็หวาน  เหมือนความรักของยาโคบรักนางราเชลยอมทำงานหนัก 7 ปีเพื่อให้ได้เธอ  พระคัมภีร์บันทึกว่า.”  เห็นเป็นน้อยวันเพราะเขารักเธอ “   ถ้าเรารู้สึกดีๆต่อพระเจ้าของเราแล้ว  การเข้าใกล้พระองค์ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ  เป็นเรื่องของหัวใจปรารถนา    พระคริสตธรรมคัมภีร์ก็บอกกับเราเชิงคำสั่งว่า
“ จงเข้าใกล้พระเจ้า  แล้วพระเจ้าจะเข้าใกล้ท่าน  Let us draw near to God , He will draw near to us”
เราเองต้องเข้าหาพระเจ้าก่อน    แล้วอะไรเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่เข้าใกล้พระเจ้า  ทั้งที่เราอยากเข้าใกล้พระเจ้า   


3 ปัจจัยที่ทำให้เราไม่เข้าใกล้ชิดพระเจ้า


1.ความคิดจอมปลอม  การโกหกหลอกลวงจากซาตาน    คำโกหกยอดนิยมที่ซาตานใส่เข้ามาในความคิดของคริสเตียนเสมอๆ  คือ  พระเจ้าไม่ได้รักคุณ     พระเจ้าไม่ชอบคุณ    พระเจ้าเกลียดคุณ   พระเจ้ารักคนอื่นมากกว่า   ถ้าเราสะสมคำโกหกนี้ไว้ในความคิด  เราจะมีพฤติกรรมที่ถดถอย  เราจะพยายามทำดี  พยามยามรับใช้ทำให้พระเจ้าพอใจ   เราจะเหนื่อยมากับการทำงานหนัก  รู้สึกทำเท่าไรดูเหมือนว่าเรายังไม่ใช่คนโปรดของพระเจ้า  


2. ขาดประสบการณ์   พบกับพระเจ้า  experience GOD   เราต้องพบกับพระเจ้าด้วยตัวของเราเอง   นอกจากการรับการอธิษฐาน  หรือ รับพันธกิจเพื่อการเยี่ยวยารักษา   เราต้องพบพระเจ้าในชีวิตส่วนตัวของเรา   เวลาอยู่คนเดียว  ที่บ้าน   ที่ทำงาน  ในรถ   แล้วเราจะพบพระเจ้ากี่ครั้งถึงพอ    เราจะใกล้ชิดคนที่เราไม่เคยพบได้อย่างไร  พระเยซูเคยพูดกับฟารีซายว่า  “ท่านทั้งหลายค้นในพระคัมภีร์คิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์  แต่ท่านไม่มาหาเราเพื่อจะจะได้ชีวิต


3.ขาดการเปิดเผยสำแดง Revelation .” ขาดการเปิดเผยสำแดง ว่าพระเจ้า ทรงเสาะหาเรา  พระเจ้าต้องการเรา   พระเจ้าชอบเรา  “  ขาดการเปิดเผยสำแดงว่า  พระเจ้าคือผู้ใด    ถ้าเรารู้จักพระองค์ เราก็จะปรารถนาพระองค์  ไม่มีใครไม่อยากอยู่ใกล้คนที่รักเราฉันใด  ถ้าเรารับการเปิดเผยสำแดงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเราอยากจะเข้าใกล้พระองค์เอง    สุดยอดของการเปิดเผยสำแดงคือการสำแดงให้เรารู้จักพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร คิด และรู้สึกต่อเราอย่างไร    .”พระจ้าชอบเรามาก แม้ว่าเราจะไม่เคยทำอะไรที่สมควร.”  พระบิดาบอกพระเยซูว่า “ เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา  เราชอบใจท่านมาก “   ก่อนที่พระเยซูจะรับใช้  พระบิดาประกาศว่า เราเป็นที่โปรดปรานของพระองค์    นี่คือการเปิดเผยสำแดงที่พระองค์อยากให้กับผู้เชื่อ คือ เราคือคนโปรดของพระเจ้าแม้เราไม่เคยทำอะไรให้พระองค์เลย  แม้เราจะไม่รับใช้   เราคือคนโปรด ก่อนที่เราจะรู้เสียอีก   เพียงเสียงเรียกของเรา   เพียงเราเข้ามาหาพระองค์  หัวใจของพระองค์ก็พองโต  หัวใจของพระองค์ก็ยินดี  เพราะพระลักษณะเด่นของพระเจ้านั้นเต็มไปด้วยความยินดี   GOD of Gladness   ทำไม่พระองค์ให้เราเข้าหาพระองค์ก่อน  เพราะพระองค์ต้องการ”ใจสมัคร .” แสดงความเต็มใจในการเลือกพระองค์   แท้จริงแล้วพระองค์ทรงเสาะหาเรา   เหมือนพระองค์ทรงทิ้งฟ้าสวรรค์ ลงมาเป็นบุตรมนุษย์ มาสื่อสาร มาสำแดง ว่าพระองค์ผู้ทรงรักเราเพียงใด  ….


การเปิดเผยสำแดง พระลักษณะของพระเจ้า เชิงสัมพันธภาพ  2  แบบ
พระเจ้าทรงเป็น พระบิดา  God as Father  ที่รัก เอื้ออาธรณ์  ห่วงใย  พระองค์มีสัมพันธภาพแบบพ่อแม่ที่เป็นผู้ให้  ผู้เลี้ยงดู  ไม่ว่าลูก(ผู้เชื่อ)จะเป็นอย่างไรก็รักลูกเสมอ   การเปิดเผยสำแดงนี้เองที่เป็นรากฐานของความเข้าใจเรื่องการบำบัดภายใน   ความรักอันอบอุ่นของพระบิดาเยียวยาเรา  รักษาบาดแผลที่เราได้รับจากพ่อแม่ในวัยเด็กของเรา
พระเจ้าทรงเป็นคนรัก  God as Lover  องค์เจ้าบ่าว  ที่ปรารถนาสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งห่วงหาอาธรณ์   เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ไม่ยอมให้เราเป็นของพระอื่นหรือสิ่งอื่น    รักเราทั้งที่เราไม่นารัก   จำความผิดเราไม่ได้   ทั้งรักทั้งผูกพัน  พระคัมภีร์ให้ความคิดของการ “ เทียมแอก “ “ร่วมครอบครอง”  พระเยซูไม่ต้องการแค่ไถ่เรา  ยกโทษบาปให้เราเท่านั้น  พระองค์ต้องการสร้างเราให้เป็น เจ้าสาวที่คู่ควรที่จะครอบครองร่วมกับพระองค์  เพราะเราจะได้ครอบครองโลกกับพระองค์อย่างบริบูรณ์จริงๆในยุคพันปี    พระองค์จึงใช้เวลาเตรียมเจ้าสาวของพระองค์ให้พร้อม   ให้รักพระองค์ด้วยใจสมัคร

จากปฐมกาลบทที่1 ..2  พระเจ้าทรงสร้างโลกนี้อย่างงดงาม  สมบูรณ์แบบ  แผ่นดิน ท้องทะเล  ท้องฟ้า  ต้นไม้ ธรรมชาติงดงาม  สัตว์นานาพันธ์  อาหารบริบูรณ์  ไม่มีมลภาวะ  ไม่มีความขาดแคน  มีความสุข  อาดัมคุยกับพระเจ้าในสวน  อาดัมปกครองแผ่นดินโลกและสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก  แต่ในท่ามกลางความสมบูรณ์แบบนั้นเอง อาดัมและเอวาได้เลือกปฎิเสธพระเจ้าด้วยการกินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม  วันนั้นที่อาดัมได้กินผลไม้ แน่นอนพระเจ้าทรงเห็น  และพระองค์รู้แล้วว่าวันหนึ่งพระองค์จะมีคนที่จะเลือกพระองค์ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไร    พระเจ้าไม่ไช่แค่เตรียมแผนการไถ่ให้เรารอดจากบาปและผลของบาปเท่านั้นพระองค์ พระองค์ต้องการสร้างมนุษย์ใหม่ที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ เป็นเจ้าสาวที่รู้ใจเจ้าบ่าว  เป็นคนที่ได้รับการไถ่ที่ไม่ใช่แค่รอดจากบาปแต่รู้ใจพระเจ้า  รักพระเจ้า และเลือกพระองค์เสมอ   พระเจ้ากำลังพามนุษย์มุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง  ปลายทางของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ ปรากฏในหนังสือ วิวรณ์บทที่ 19  คือ งานมงคลสมรสของพระเมษโปดก    ( แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง เตรียมงานมงคลสมรสให้บุตรของพระองค์  มัดธาย 24)    เราผู้ที่พระเจ้าไถ่ไว้ กำลังเดินทางสู่งานมงคลสมรสที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้   ขณะนี้พระองค์กำลังเตรียมเจ้าสาวของพระองค์ให้คู่ควร  ให้ครอบครอง เคียงคู่กับพระองค์  มั่นใจในความรักของพระเจ้าเสมอในทุกสถานการณ์ของชีวิต  ในยามทุกข์  ในยามสุข  ในความมั่งคั่ง และ ยากจน   และในท้ายสุดของหนังสือวิวรณ์บอกว่า  .” พระวิญญาณ และ เจ้าสาว  บอกว่า เชิญมาเถิด “  วันหนึ่งเจ้าสาวและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นหนึ่งเดียวกัน ร้องเชิญพระเยซู  “ เชิญมาเถิด”  …….

ให้เรามาพิจารณารายละเอียด ในบทเพลงโซโลมอน  ที่เป็นหนังสือที่จะช่วยให้เราเข้าใจพระเจ้าอย่างที่พระเจ้าเป็น   รายละเอียดในหนังสือนี้ จะเปิดเผยให้เรารู้จัก อารมณ์ความรู้สึกของพระเจ้า  ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน    
การใกล้ชิดสนิทสนมพระเจ้า  เป็นการเดินทางที่พัฒนาได้ด้วยการเปิดเผยสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่ต้องสะสม  เพิ่มพูนด้วยประสบการณ์พบพระเยซูมากขึ้นๆ   พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านวิกฤตการณ์ของชีวิต ทั้งความรู้สึกลบที่มีต่อตัวเอง   อัตลักษณ์ที่ผิดๆ  มองตัวเองด้วยความคิดของโลกนี้  เช่นค่าของเราอยู่ที่การรับใช้ อยู่ที่ผลงาน ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน  พระเจ้าพาเราผ่านวิกฤติการณ์ของชีวิต  ขณะที่พระเจ้ากำลังเขย่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา  ทุกอย่างรอบตัวเราสั่นไหว  แต่ พระเจ้าจะพาเราเข้าไปสู่ที่ที่ไม่สั่นไหว  ที่ที่มั่นคง ในความรักอันมั่นคงของพระองค์     พระเจ้าจะพัฒนาชีวิตการนมัสการภายในของเรา    เมื่อเราพบพระองค์ลึกซึ้งมากขึ้น  การนมัสการของเราถูกปลุกเร้าจากการที่เราได้พบพระองค์  ด้วยการเปิดเผยสำแดง  เราเห็นพระองค์  เราจะรู้สึกว่าพระองค์ยอดเยี่ยม  ประเสริฐ  ล้ำเลิศ    เหมือน “   พระองค์ทรงล้ำเลิศเหนือ หมื่นๆคน   ที่รักของฉัน  เขาเป็นเอกในท่ามกลางหมื่นๆคน …   (ซลม  5:10)    
พระเจ้ามองดูเจ้าสาวของพระองค์   ไม่ว่าตอนนี้จะอ่อนแอ   ไม่บริสุทธ์  ยังไม่งดงามเพียงใด   พระองค์มองเราไปที่อนาคตข้างหน้า  “  ที่รักของฉันเอ๋ย  ….. แม่เป็นสง่าน่าคร้ามเกรงดุจกองทัพมีธงประจำ…..”( ซลม 5:4  )      
พระเจ้าทรงมุ่งมั่น ทุ่มเทที่จะตกแต่งให้เจ้าสาวของพระองค์ งดงาม  ครอบครอง  คู่ควรกับองค์เจ้าบ่าว   เราไม่ยืนอยู่บนความมุ่งมั่นของเราแต่บนความมุ่งมั่นของพระองค์ผู้เป็นที่รักยิ่ง และจะไม่ปล่อยเราไปตามยถากรรม  เพียงแต่  ให้เราเข้าใกล้พระเจ้า……………..แล้วพระองค์จะเข้าใกล้ท่าน   แน่นอน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่อยู่ใกล้  ไม่ใช่พระเจ้าที่อยู่ไกล    พระเจ้าคิดถึงท่าน  คิดถึงมากกกกกกกกกกก พระเจ้าทรงเสาะหาเรา……แม้เราไม่เคยคิดที่จะแสวงหาพระองค์   เมื่อเราพบพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็จะคิดถึงพระองค์  “ เหมือน ดาวิด บอกว่า คร่ำครวญคิดถึงพระเจ้า แม้บนที่นอน ……..สดด   )

พระคัมภีร์ได้ให้ความเข้าใจเรื่อง ใกล้ชิดสนิทสนมในหลายตอนทั้งพระคัมภีร์เดิมและใหม่  ในหนังสือโฮเชยาพระเจ้าทรงใช้โฮเชยาไปรับหญิงที่นอกใจเขาให้กลับมาเป็นภรรยา เพื่อสอนใจคนอิสราเอลว่าแม้เขานอกใจพระยาเวห์พระองค์ก็ทรงรักเขา     หนังสือบทเพลงโซโลมอนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่บรรยายว่าพระเจ้าปรารถนาให้เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์เหมือนคนรัก  เหมือนกษัตริย์โซโลมอนรักหญิงชาวชูเนม  ที่ได้บรรยายถึงความรู้สึกของเจ้าบ่าวที่มีต่อเจ้าสาวที่จะเปลี่ยนความคิดของเราไปเลย ว่า นี่คือความคิด  ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเราจริงๆนะเนี่ย!  

การเริ่มต้นของบทเพลงรักนี้คือการเปิดเผยสำแดง ( ขอจุมพิตฉัน…..การแตะต้องสัมผัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ )   สัมผัสแรกจากพระวิญญาณทำให้รู้รสความรักของพระเจ้า   (ซลม 1:2) 
2ขอเขาจุบดิฉัน     ด้วยจุบจากปากของเขา   เพราะว่าความรักของเธอดีกว่าเหล้าองุ่น
บทเพลงโซโลมอนให้ความเข้าใจว่า นี่คือวิถีชีวิต  วิถีแห่งปัญญา ทีนำสู่ชีวิตที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ ( A path of wisdom to authoritative Intimacy)  ที่ไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืนแต่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้เชื่อ/เจ้าสาวได้พบกับพระเจ้าของเธอ     แม้เมื่อเธอเริ่มพบกับวิกฤตกาลในชีวิตครั้งแรก  “ถึงฉันจะดำ  ก็ดำขำ”  ปัญหาที่ผู้เชื่อ/เจ้าสาวรู้สึกว่าตัวเองบกพร่อง  ไม่งามหมดจด  ตัวดำ  ไม่สวย   ปัญหาใหญ่เมื่อเรามองดูตัวเองด้วยสายตาของมนุษย์เราจะไม่ชอบตัวเราเลย  แต่เมื่อพบกับพระองค์ผู้เป็นองค์เจ้าบ่าวของเราแล้วพระองค์ทรงบอกว่าเรางดงาม   เรางาม  และด้วยสายตาที่พระองค์มองดูเรา  เราเชื่อ  เราก็เข้าหา  เข้าใกล้พระเจ้าได้โดยไม่ต้องงามก่อน  พระองค์ทรงรักเราทั้งที่เราดำ  มีตำหนิ  อ่อนแอ   ขี้ท้อใจ  ซึมเศร้าง่าย  พระองค์ทรงรักเจ้าสาวคนนี้แหละ  ด้วยความรักนี้พระองค์ทรงพาเราไปที่งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง  ( ซลม2 )  พาเราให้ดื่มด่ำในความรักของพระองค์   สัมผัสในความรักของพระเจ้าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ  การที่จะรู้สึกว่ามีใครสักคนรักเรา  รักเรา  ช่างเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตได้วิเศษอะไรเช่นนี้   เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่า   เรามั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา  ยิ่งได้ใช้เวลาอยู่กับพระองค์ก็ได้รู้จักพระองค์มากขึ้น ดังคำที่เขียนไว้ว่าได้ลิ้มรสหวาน… (ซลม 2:2-3)
ดอกพลับพลึงท่ามกลางต้นกระชับนั้นอย่างไร   ที่รักของฉันก็อยู่เด่นในท่ามกลางสาวอื่นๆอย่างนั้น   
ต้นท้อขึ้นอยู่กลางต้นไม้ป่าอย่างไร   ที่รักของดิฉันก็อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มอื่นๆอย่างนั้น   
ดิฉันอยากนั่งอยู่ใต้ร่มของเขา   และผลของเขา  ดิฉันได้ลิ้มรสหวาน    
องค์เจ้าวบ่าวของเราอยากให้เรารู้จักกับความรักของพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงพาเราออกไปยังที่ที่เราไม่คุ้นเคย (out of comfort zone)   ในบทที่สาม  เมื่อเจ้าสาวได้พรัดพรากจากเจ้าบ่าวอันเป็นที่รัก   เดินสู่ สงครามฝ่ายวิญญาณในบทที่ สี่   และเดินสู่คำคืนที่มืดมิดและยาวนาน  องค์เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวสู่ช่วงเวลาที่เจ็บปวดดูเหมือนไม่มีทางออก  (dark night of soul) และในที่สุด เจ้าสาวก็ออกมาจากถิ่นทุรกันดาร  ผ่านศึกสงครามอย่างมีชัยชนะ  (ซลม 6:4,10) 4ที่รักของฉันเอ๋ย  แม่ช่างสวยงามประหนึ่งเมืองทีรซาห์   และงามเย็นตาดังเยรูซาเล็ม   แม่เป็นสง่าน่าคร้ามเกรงดังกองทัพ    5ขอเบือนเนตรไปจากฉันเถอะ   
เพราะว่าฉันแพ้นัยน์ตาของเธอแล้ว   …..10“แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ  เมื่อมองลงก็ดังอรุโณทัย   
แจ่มจรัสดังดวงจันทร์  กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน   สง่าน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ   การเดินกับองค์เจ้าบ่าวผ่านร้อนผ่านหนาวทำให้เธองดงามเข้มแข็ง  และเจ้าสาวพูดอย่างมั่นใจ  7:10 ว่า ตัวดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของที่รักของดิฉัน   และความปรารถนาของเขาก็เจาะจงเอาตัวดิฉัน   
เจ้าสาวเดินใกล้ชิดกับองค์เจ้าบ่าว เธอมีชัยชนะดุจกองทัพที่ผ่านศึกสงคราม เดินออกมาจากถิ่นทุรกันดารอิงแอบแนบพระองค์ผู้เป็นที่รักยิ่ง   เพราะความรักมากมายที่เธอได้รับเธอไม่กลัวอนาคตอีกต่อไป  ดัง ซลม 8:5-10
แม่คนนี้ที่ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดาร    อิงแอบแนบมากับคู่รัก   คือใครที่ไหนหนอ   
ดิฉันได้ปลุกเธอเมื่อเธออยู่ใต้ต้นท้อ   ที่นั่นแหละที่มารดาของเธอได้ปวดร้าวเพราะเธอ   
ที่ตรงนั้นแหละผู้ที่คลอดเธอได้เจ็บครรภ์   
จงแนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียว   ดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ   ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ   
เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย   ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย   
และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิง   คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง   
7น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้   หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลัก ตายเสียได้   แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้น   มาแลกกับความรักนั้น   
คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคน ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง   
บทเพลงโซโลมอนช่วยให้เราอยู่ใกล้พระเจ้า  สนิทสนมกับพระองค์  เดินกับพระองค์ด้วยความมั่นใจในความรักของพระองค์  ไว้วางใจในการนำของพระองค์  พระองค์จะสอนเราให้ทำสงครามด้วยสิทธิอำนาจ  ให้เราเป็นเจ้าสาวที่คู่ควรเทียมแอกกับพระองค์  ที่ความรัก  ไฟรักร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ 

บทเพลงโซโลมอน  คล้ายกับ คำอธิษฐานของพระเยซู ( ยฮ 17 : 24-26   ) “อยู่ในที่พระเยซูอยู่…………ให้ความรักที่พระบิดารักพระเยซูอยู่ในผู้เชื่อ  ……….”   ถ้าเพียงแต่เราได้อยู่กับพระองค์เราก็จะซาบซึ้งในความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา  ดังคำอธิษฐานของ อ.เปาโลเพื่อคริสตจักรเอเฟซัสให้ซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า… เพื่อเราจะรับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม  ( อฟซ 3)    หนุนใจให้เราใช้พระคัมภีร์นี้มาอธิษฐานในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มจาก อฟซ 1 :17..ขอการเปิดเผยสำแดง ……….

การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า



การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า
การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า  ขอพระพรของพระองค์หลั่ง  ลงเหนือประชากรของพระองค์เทอญ - สดุดี ๓:๘
ชีวิตของคุณกำลังเผชิญกับปัญหารอบด้านอยู่หรือไม่  หากใช่  คุณคงต้องการใครสักคนที่จะช่วยกู้คุณออกจากสถานการณ์เหล่านั้น 
ทราบหรือไม่ว่า  นอกจากพระเจ้าทรงช่วยให้รอด  พระองค์ยังทรงประสงค์ที่จะช่วยกู้บุตรทุกคนของพระองค์ด้วย
คำว่า “การช่วยกู้” จากพระธรรมข้อหลักวันนี้  ปรากฏมากมายในพันธสัญญาเดิม  ซึ่งส่วนใหญ่แปลว่า “ความรอด”
คำว่า “ความรอด” จึงไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรกในพันธสัญญาใหม่  และไม่ได้ถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่ในเรื่องชีวิตหลังความตาย
คำว่า “การช่วยกู้” หรือ “ความรอด” ยังหมายถึง ““การปลดปล่อย  ความช่วยเหลือ ชัยชนะ  สวัสดิภาพ  ความเจริญรุ่งเรือง”     
           
          ในพันธสัญญาเดิม  เมื่อพระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์  และขณะที่กำลังจะถูกกองทัพอียิปต์ตามสังหารหมู่  โมเสสได้เตือนประชากรว่า อย่ากลัวเลย  มั่นคงไว้  คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า  ซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้” (อพย. ๑๔:๑๓)  โมเสสไม่ได้เตือนประชากรว่าหลังจากที่พวกเขาถูกทหารอียิปต์สังหารหมดแล้ว  พวกเขาจะเข้าสู่ความรอด  เข้าสู่สวรรค์  แต่ได้เตือนให้พวกเขาคอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า “ในวันนี้”  ในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ เป็นความรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตนี้
ในพันธสัญญาใหม่  พระเจ้าตรัสว่า ในเวลาอันชอบเราได้ฟังเจ้า  ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า  นี่แน่ะ  บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ  นี่แน่ะ  บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด”(๒ คร. ๖:๒๒)  จากข้อนี้  ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อนจึงจะมีประสบการณ์กับความรอดได้ 

           พระเจ้าทรงช่วยกู้คุณให้รอดโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและการเป็นขึ้นจากความตายของพระบุตรของพระองค์  บนไม้กางเขน  พระคริสต์ได้ทรงแบกบาป  แต่นอกเหนือจากนั้น  พระองค์ทรง แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย  และหอบโรคของเราไป” (มธ. ๘:๑๗)  และ ”ด้วยบาดแผลของพระองค์  ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย” (๑ ปต. ๒:๒๔) บนไม้กางเขน  “พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ”
จากพระธรรมข้อหลัก  ผู้เขียนสดุดีได้กล่าวถึงสองสิ่งควบคู่กัน  ซึ่งก็คือ “ความรอด”และ “พระพร” 
จากพันธสัญญาใหม่  อัครทูตเปาโลได้กล่าวถึง “ความรอด” และ “พระพร” ควบคู่เช่นกัน  ท่านกล่าวถึงพระราชกิจของพระคริสต์บนไม้กางเขนว่า  “พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ...  เพื่อพระพรทางอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย  เพราะพระเยซูคริสต์...”  นอกจากรอดจากคำแช่งสาปในชีวิตนี้ ยังได้รับพระพรทางอับราฮัมและพระพรฝ่ายวิญญาณนานาประการ (อฟ. ๑:๓)
หากวันนี้คุณกำลังเผชิญกับปัญหารอบด้านอย่างที่อิสราเอลเผชิญ  
        
            อย่าเลื่อนความรอดและพระพรออกไปในชีวิตหลังความตายอีกต่อไป  จงทำอย่างที่โมเสสเตือนประชาชน  คือ  อย่ากลัวเลย  จงมั่นคงไว้  คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า  จงตระหนักว่า  การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า  พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานพระพรทางอับราฮัมและพระพรฝ่ายวิญญาณแก่เรานานาประการในสวรรคสถานโดยพระคริสต์แล้ว ความเชื่อของคุณจะมั่นคงยิ่งขึ้น  และคุณจะมีชัยเหลือล้นเหนือสถานการณ์ต่างๆ และจะมีประสบการณ์กับความรอด  การช่วยกู้  การปลดปล่อย  ความช่วยเหลือ ชัยชนะ  สวัสดิภาพ  ความเจริญรุ่งเรือง  และชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ
คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า  ลูกสรรเสริญพระองค์  เพราะการช่วยกู้เป็นของพระองค์  ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระพรทางอับราฮัมและพระพรฝ่ายวิญญาณนานาประการที่ทรงโปรดประทานแด่ลูก  ลูกขอบพระคุณพระองค์  ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน 

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 1


ทุกวันนี้พวกเราทุกคนคงหนีไม่พ้นปัญหา อุปสรรคที่มีผลต่อจิตใจของเรา มันส่งผลให้อารมณ์ของเราดีและไม่ดี และส่งผลต่อคนรอบข้าง ที่จะโดนกระทบต่อสิ่งที่เราแสดงออก

คนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่านั้น จะเป็นผู้ที่ทนต่อปัญหา สถานการณ์ที่กระทบเข้ามา เหมือนกับต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่ รากแข็งแรง ต้นใหญ่มั่นคง เมื่อโดนฝน พายุ อากาศร้อน หนาว เย็น ย่อมคงทนได้ทุกฤดูกาล

แต่ต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง ไม่ได้รับการดูแล รากแก้วไม่แข็งแรง ลำต้นไม่แข็งแรง ย่อมจะล้มลงง่ายๆ ตายไปด้วยความร้อน หรือ อากาศ หรือช่วงขาดน้ำเพียงไม่กี่วัน

จึงอยากคุยวันนี้ว่าเราจะสร้างกำลังจิตใจให้แข็งแรงได้อย่างไร ? เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะอยู่ในโลกนี้เหมือนต้นไม้ไม่แข็งแรง โดนลมพัดไปมา เหมือนคำสอนของเปาโล ผู้นำชาวยิว กล่าวว่าหันไปเห มาด้วยลมปากของมนุษย์ ก็คือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามคำชักจูงของคน ซึ่งเราไม่รู้ว่าคนนั้นจะพูดในสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่เมื่อคำพูดนั้นได้วิ่งเข้ามาในหู ถูกกลั่นกรองในสมอง ย่อมมีผลต่อจิตใจของเรา
และส่งผลต่ออารมณ์ของเราได้ จึงอยากหนุนใจว่าวันนี้ หรือคืนนี้ที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ จงตั้งใจ ตั้งเป้าที่จะสร้างจิตใจ หรือจิตวิญญาณของท่านให้สมบูรณ์แข็งแรงและเติบโต หรือผมอยากจะใช้คำหนึ่งว่า “เป็นผู้ใหญ่” ในจิตวิญญาณนะครับ

จงจำไว้เรากำหนดเองได้ว่าจะให้จิตใจของเราเป็นอย่างไร ? เพราะเราเป็นเจ้าของ ไม่ใช่สถานการณ์หรือผู้หนึ่งผู้ใด

แล้ววันนี้ท่านกำหนด ตั้งเป้าหมาย ที่จะคิด เลือก ฟัง สิ่งที่ดีให้เป็นอาหารแก่จิตใจของท่านหรือยัง

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 2


ชีวิตของมนุษย์ ประกอบไปด้วย สามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือ ร่างกาย ส่วนที่สองคือ จิตใจ และส่วนที่สามคือจิตวิญญาณ 
ลองคิดดูสิครับว่าหากเรามีร่างกาย แต่ไม่มีวิญญาณเราก็คือคนตาย แต่หากเรามีวิญญาณแต่ไม่มีร่างกาย เราก็คือวิญญาณ แต่หากเรามีวิญญาณ ร่างกาย แต่ไม่มีจิตใจ ชีวิตของเราจะกลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก อารมณ์เห็นอกเห็นใจ หรือรับรู้การสัมผัสของร่างกาย เราจะเป็นคนที่แห้งแล้งมากเลยทีเดียว
หลายคนไม่เข้าใจว่าจิตใจมีผลต่อชีวิตมาก เหมือนคำที่กล่าวว่าจิตใจที่ดีเหมือนยาวิเศษ คนป่วย คนท้อใจอยู่ในอาการเจ็บป่วยยาวนาน หากรับกำลังใจที่ดี ได้รับคำพูดหรือข่าวเรื่องราวที่เสริมสร้าง จิตใจก็จะหึกเหิม จะช่วย ให้เขากล้าที่จะลุกขึ้นมา และกล้าที่จะบุกน้ำลุยไฟอย่างไหนก็ได้

เพราะเขารู้ว่าหากทำผิดพลาด หรือสำเร็จก็จะมีคนๆ หนึ่ง คอยให้กำลังใจและปลอบใจให้แก่เขา และตอนนี้เราจะมาคุยกันว่า จะให้อาหารด้านจิตใจได้อย่างไร

เรื่องแรกคือคน คนที่ผมได้กล่าวไปบ้างแล้ว คือคนๆ นี้ เขาที่จะรู้สึกดีต่อท่าน คนที่คอยให้กำลังใจแก่ท่าน แม้ท่านล้มลง พ่ายแพ้ ท่านจะมีคนๆนี้ คอยให้กำลังใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่กับม่านตลอดเวลา หรืออยู่ด้วยกัน เขาอาจอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ท่านสามารถเขียนอีเมล์ โทรศัพท์ หรือไปหา เขาจะต้อนรับท่านเสมอ

วันนี้ท่านสร้างสัมพันธ์ และมีคนๆนี้แล้วหรือยัง เพราะหากท่านยังไม่มีก็จงเริ่มสร้างสัมพันธ์กับ ใครบางคน เสียตั้งแต่วันนี้ครับ แล้ววันหนึ่งท่านจะไม่ผิดหวังเลย ในยามที่ท่านต้องการใครสักคนหนึ่ง

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 3


การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่สาม อย่าตัดสัมพันธ์คนง่าย ๆ

"อย่าเผาสะพานทิ้ง" คำพูดนี้เป็นสำนวนคนจีนครับ เพราะเมื่อทหารไปรบ ด้วยความกล้าหึกเหิม เขาจะต้องชนะและไม่หนีกลับมา จะไปยึดเอาข้างหน้าเป็นที่ตั้ง จึงตัด เผาสพานทิ้ง บ่งบอกว่าจะไม่กลับมาอีก

แต่ว่าหากแพ้ละ เขาจะกลับมา สะพานถูกเผาเสียแล้ว หรือในอีกทำนองหนึ่ง เราประยุกต์ในเรื่องการคบค้าสมาคม เมื่อเราจะเปลี่ยนที่ทำงาน หรือเกิดการบาดหมางใจกับกับใครบางคน เราเผาสะพานทิ้ง โดยเปลี่ยน ลบเบอร์มือถือ อีเมลล์ เลิกติดต่อ ทำไมครับ เพราะวันหนึ่งคน ๆ นั้น อาจเป็นเพื่อนที่หนุนใจ ชูใจ และใกล้ชิดที่สุดในยามคุณยากลำบาก

และคนที่คุณคืดว่าเขาดีที่สุดอาจไม่อยู่ตอนนั้น เหมือนคำว่า ‘มิตรที่ใกล้ชิด บางทีสนิทกว่าพี่น้อง ‘แต่ท่านอาจจะไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วยบางเรื่องของเขา ท่านกลับ ตัดความสัมพันธิ์แบบไม่มีเยื่อใย แต่วันหนึ่งท่านท้อแท้ในจิตใจขึ้นมาจะทำอย่างไร?

ดังนั้น จะออกจากงาน หรือย้ายที่อยู่ หรือจากกันอย่าเผาสะพานทิ้ง รักษาสะพานนั้นไว้ เพราะวันหนึ่ง ท่านอาจจะต้องกลับมาหา หรือเดินข้ามสะพานนนั้นอีกครั้งครับ ดูเหมือนมันไม่ง่ายที่จะทำ แต่มันมีผลมหาศาล เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะเป็นกำลังใจ และโอบรับท่านกลับมาอีกครั้งหนึ่งได้เช่นกัน

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 4


คนเรามีสามเรื่องที่มักจะทำให้เสียความสัมพันธ์ คือ สไตล์การทำงาน หรือบุคลิก การดำเนินชีวิต และสุดท้าย คือ เรื่องจริยธรรม 

เราจะเห็นว่าเวลาคนเราทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ไม่อยากทำงานกับหัวหน้าคนนี้ หรือเพื่อนคนนี้ ลองคิดดี ๆ ว่าเป็นเรื่องอะไร สไตล์การทำงานของเขา สไตล์การทำงาน หรือเขาทำผิดจริยธรรม ?

ทำไม ?เพราะเรามักจะเลิก หยุด ละ ท้อใจ หมดใจ กับบางคน ซึ่งอาจเป็นหัวหน้า หรือ เพื่อนร่วมงาน เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

จิตใจของเราต้องปรับใหม่ คิดใหม่ ว่าขอให้งานสำเร็จ จากทีมของเรา แต่เราไม่เหมือนกันด้านบุคลิก ซึ่งจะพูดภายหลัง และแต่ละบุคลิกก็จะมีวิธี สไตล์การทำงานไม่เหมือนกัน

แต่หากจิตใจเราไม่เข้มแข็ง เราจะท้อใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คือ บุคลิตและวิธีสไตล์การทำงาน เลยทำไห้เราพลาดจากเพื่อนร่วมงานที่หลากหลาย และเสริมสร้างอารมณ์ จิตใจของเราได้ เพราะว่าสิ่งเดียวที่เรารับไม่ได้คือ เขาทำผิดจริยธรรม หรือจรรยาบรรณ

คนสมัยนี้แปลกครับ คนทำผิดจริยธรรมเราเฉย ๆ รับได้ แต่คนทำงานร่วมกับเรา แค่ทำงานคนละสไตล์กับเรา หรือบุคลิกเล็กๆน้อยๆ มันรบกวนจิตใจเรา จนตัดขาดจากความเป็นเพื่อน หรือไม่อยากทำงานร่วมกับเขาไปเลย แบบนี้ไม่ดีครับ เพราะคนบางคน บุคลิกเขาไม่ดี หรือสไตล์การทำงานแตกต่างจากเรา แต่เขาไม่ทำร้ายจิตใจเราแน่ เพราะนั่นตือตัวตนของเขา และเขาก็ไม่ได้ทำผิดจริยธรรม ไม่ทำให้ท่านเดือนร้อนแน่ครับ วันนี้หัดคิดใหม่ เพื่อจิตใจท่านจะไม่ถูกรบกวนจากเรื่องหยุมหยิม ที่ไม่ควร ให้มันทำลายสุขภาพจิตของท่าน

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 5 จงเข้มแข็ง


การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 5 จงเข้มแข็ง
หากเรามั่นคงในอุดมคติ ทัศนคติที่ดีกับตัวเองภายใน เราก็จะมั่นคงภายนอกไปด้วย และสิ่งที่เราทำก็จะเป็นการทำซึ่งออกมาจากภายใน เราจะไม่กลัว ไม่อาย

ลองหันมาสร้างความเข้มแข็งภายในดูสิครับ โดยเริ่มจากจิตใจ 

ผมจะยกตัวอย่างเรื่องราวในไบเบิ้ล ให้ท่านฟัง พระเยซูได้เล่าเรื่องชายคนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองเยรีโค ขณะเดินทางได้ถูกโจรปล้นและทำร้าย ปรากฎว่ามี ปุโรหิต (สมัยนั้นชุดปุโรหิตเรียบร้อย มีรายละเอียดมากมาย ) และมีกฎของปุโรหิต คือ ห้ามแตะต้องศพ ทั้งที่คนยิวด้วยกันที่ถูกทำร้ายจะตายหรือไม่เรายังไม่รู้ แต่ด้วยการรักษาผิดรูปแบบภายนอก ปุโรหิต (นักบวช ผู้นำทางศาสนาของยิว) ก็เดินผ่านไปไม่ใยดี

ต่อมามีคนเลวี (นักเขียน นักศาสนาผู้คัดลอกไบเบิ้ล หรือพระคัมภร์ หรืออาจารย์ผู้รอบรู้พระคัมภีร์) เห็นเข้า ก็คงเพราะมีความรู้มาก มีเหตุผลมากมาย ก็เดินผ่านไป เพราะเกรงว่าจะโดนหลอกทำร้าย ปล่อยให้คนยิวเหมือนกันนอนซมกับการบาดเจ็บต่อไป

สุดท้าย มีชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ชาวยิวรังเกียจ เรียกได้ว่าเปรียบแค่เท่ากับสุนัขตัวหนึ่ง ผ่านมาเห็นชาวยิวคนนี้ เขาจึงพาไปหาหมอ และบอกกับหมอว่า เดี๋ยวเขาจะเดินทางกลับมา หากเงินไปพอเขาจะจ่ายให้ทั้งหมดเลย

แล้วตอนนี้ พระเยซูถามคนฟังว่า ใครคือเพื่อนที่แท้จริง

ผมยกเรื่องนี้มาเล่าเพราะอยากให้เห็นตัวยภายในของชาวสะมาเรียว่า แม้ภายนอกชาวยิวจะให้คุณค่าเขาแค่สุนัขตัวหนึ่ง แต่ชาวสะมาเรียมองภายในตัวเองว่า เขาคือคนๆ หนึ่งที่ต้องทำดี นี่คือผลของความเข้มแข็งในจิตใจ ส่งผลให้เสริมสร้างบุคลิคภายนอกที่แท้จริง และเข้มแข็งในตัวตนอย่างแท้จริง

วันนี้จงเข้มแข็งภายใน แล้วมันจะส่งผลต่อภายนอก ครับ

การช่วยกู้จากพระเจ้าผ่านคนที่คุณมองข้าม โดย อาจารย์เจริญ ยธิกุล


จำได้ว่าครั้งหนึ่งขณะลูกชายยังเล็กมาก ประมาณสี่ขวบ ได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ช่วงปีใหม่ ขากลับผมตีตั๋วรถไฟจากเชียงใหม่เพื่อมุ่งกลับสู่กรุงเทพฯ ปรากฎว่ารถไฟเที่ยวที่ผมจองตั๋วไว้เวลาออกจริงๆ 20.40 น. ผมตีตั๋วรถนอนไว้ครับ เพราะลูกชายจะได้นอนสบาย และผมกับภรรยาเมื่อมาถึงกรุงเทพฯก็จะตรงไปทำงานกันเลย

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็จะเกิดขึ้นจนได้ เมื่อมาถึงสถานีเจ้าหน้าที่ประกาศว่า เนื่องจากรถไฟเที่ยวนี้เสีย รถจะมารับตอนตี 2 หมายความว่าทุกคนต้องรออีก 5 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที

บางคนก็คืนตั๋วเพราะคงจะหาที่พักหรือโรงแรมแถวๆนั้น ส่วนผมกับภรรยาตัดสินใจรอครับเพราะดึกแล้ว ตอนที่เขาประกาศจะไปไหนก็ไม่ได้ อีกทั้งรถเที่ยวอื่นๆก็เต็มหมด จะไปนั่งทัวร์ก็ต้องรอวันรุ่งขึ้นหรือเครื่องบินก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนั้นเรารอ จนถึงเวลาเกือบเที่ยงคืน

ผมตัดสินใจไปถามรายละเอียดจากนายสถานีจึงรู้ว่ารถที่จะนำเราเข้ากรุงเทพฯ ทางอื่นได้ไหม นายสถานีบอกว่าได้ แต่เป็นรถนั่งธรรมดาชั้น 3 และจัดให้เหลือเพียง 3 ตู้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ต้องกลับกรุงเทพฯให้ได้ เพราะทั้งผมและภรรยาต่างก็ติดประชุม และหากกลับคืนนี้วันต่อไปก็ไม่มีตั๋วอยู่ดี

ข้างๆ ที่เรานั่งรอรถไฟ มีหญิงคาดว่าเป็นหมอนวด หรือหญิงโสเภณี อยู่ 4-5 คน ที่พากันมาส่งมาม่าซัง หรือแม่เล้า เนื่องจากกริยา คำพูดของพวกเธอบ่งบอกอย่างชัดเจน เมื่อขบวนรถไฟชั้นสาม มาถึงเพื่อรับพวกเรา ท่านคิดดูสิว่าคนที่รอมากมาย เพราะอยากจะกลับกรุงเทพฯ หรือลงตามระยะทางตามจังหวัดต่างๆ มากมาย

เมื่อรถมาจอดที่ชานชลา ปรากฤว่ามีเพียงสามตู้เท่านั้น ผมคิดว่าคงต้องยืนเบียดๆกันทุกคน หรือบางคนอาจต้องไปนั่งบนตู้โบกี้แน่ มันจะพอได้อย่างไรกับผู้โดยสารที่แน่นมากมายขนาดนี้

เมื่อรถไฟจอดปุ๊บ คนหลายร้อยคนต้องแย่งกันขึ้นรถไฟซึ่งมีเพียง 3 ตู้ ต่างก็คาดหวังว่าจะได้นั่ง เพราะเพลียด้วยการอดหลับอดนอนมากันหลายชั่วโมง ผมกับภรรยาก็เก็บข้าวของวิ่งขึ้นรถ แต่ปรากฎว่าช้าไปครับ เมื่อถึงบันไดเราก็ถูกเบียดและผลักจนขึ้นไม่ได้ อีกทั้งมือทั้ง 2 ของเราก็ไม่ว่าง เพราะภรรยาผมต้องอุ้มลูกและผมต้องหิ้วกระเป๋า ทันใดนั้นเองหมอนวดคนหนึ่งก็วิ่งลงจากรถไฟ เพราะพวกเธอไปถึงก่อน มาอุ้มลูกผมไปก่อน ทำให้ภรรยาผมจึงขึ้นไปได้และผู้ชายที่มากับพวกผู้หญิงก็เข้ามาช่วยผมยกกระเป๋าขึ้นไป

เมื่อขึ้นไปบนรถไฟได้แล้ว หมอนวดอีก 3 คนได้นั่งจองที่นั่งให้เรียบร้อยแล้ว พวกเธอลุกขึ้นและให้เรานั่ง 3 พ่อแม่ลูกและพวกเธอก็ลงจากรถไฟไป โดยที่เธอบอกว่าเธอขึ้นมาก่อนเพื่อเตรียมที่สำหรับเรา 3 คนแล้ว

ขอบคุณพระเจ้า ท่ามกลางปัญหา เรายังเห็นพระพรของพระเจ้าที่ทรงให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า คนที่สังคมประนามดูหมิ่น เป็นหญิงแพศยา เป็นหมอนวด แต่มีน้ำใจช่วยเหลือเรา 

ผมกับภรรยาได้รับการหนุนน้ำใจอย่างมากในเหตุการณ์นี้ พระเจ้าทรงจัดเตรียมการช่วยกู้ให้เรา ได้วางแผนการณ์ที่จะช่วยให้เรามีที่นั่ง ผ่านคนที่หลายคนมองค่าไร้คุณค่า หรือรังเกียจ

เหตุนี้เองผมจึงได้เริ่มคิดไตร่ตรองในพระคัมภีร์ว่า ทำไมพระเยซูคริสต์จึงรักและนำความรอด ให้โอกาสสงสาร สนพระทัยหญิงโสเภณี เพราะพระเจ้ามองที่ใจ ไม่ได้มองภายนอก และพระองค์สามารถใช้คนที่จะเป็นพระพร อุปกรณ์ของพระองค์ เพื่อมาช่วยเรา แม้โลกคิดว่าต่ำต้อย ผิดกับพวกฟาริสี ที่คิดว่าตนเองเคร่งครัดบริสุทธิ์ แต่ไร้ความรักความเมตตา

วันนี้เรื่องสำคัญคือ เราจะเปิดรับพระพรของพระเจ้า การช่วยกู้จากพระองค์ผ่านวิธีการ หรือความคิดของเรา หรือ ให้พระองค์นำ ซึ่งมันอาจจะทำไห้คุณคิดไม่ถึง เพราะมันอาจเป็นคนที่คุณมองข้าม เพราะสิ่งที่หูไม่ได้ยิน และตามองไม่เห็นเป็นสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์ครับ

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจดีๆ จาก อาจารย์เจริญ ยธิกุล และ ศูนย์พันธกิจแม่น้ำ
ท่านสามารถ ติดตามบทความอื่นๆ ของอาจารย์เจริญ ได้โดยตรงที่ http://river-ministry.blogspot.com/

กษัตริย์ไซรัส ผู้รับใช้ของพระเจ้า

ไซรัสเป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย เป็นผู้โค่นล้มอาณาจักรบาบิโลนและปล่อยชาวยิวให้พ้นจากการตกเป็นเฉลยกลับไปสู่แผนดินยูดาห์ (เอสรา 1:1, 2) พระองค์เป็นบุตรของ แคมบายซีส์ (Cambyses) เจ้าชายของเปอร์เซีย และเกิดในปี กคศ 599 ในปี กคศ 559 ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย และแผ่นดินของชาวมีเดียได้ถูกยึดครองโดยพระองค์ในเวลาต่อมา กษัตริย์ไซรัสเป็นผู้นำทางการทหารที่ยิ่งใหญ่ ได้ยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ในปี กคศ 538 ในคืนที่กษัตริย์เบลชัสซาร์จัดงานเลี้ยง (ดาเนียล. 5:30) และต่อจากนั้นได้ยึดแผนดินส่วนที่เหลือของอาณาจักรอัสซีเรียเดิม (อิสยาห์ 21:2)  

พระเจ้าได้ให้กษัตริย์ไซรัสเป็นเสมือนผู้เลี้ยงแกะของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงใช้เพื่อดูแลประชากรแห่งพันธสัญญาของพระองค์ เป็นไปได้ว่ากษัตริย์ไซรัสได้รับการซึมซับเรื่องราวต่างๆของพระเจ้าผ่านการติดต่อด้านการค้าหรือการติดต่อด้านด้านอื่นๆกับพวกยิว

 “ในปีแรกแห่งรัชกาลไซรัส” (เอสรา 1:1) ไม่ใช่ปีแรกของการที่พระองค์มีอำนาจอย่างเด็ดขาดบนแผ่นดินมีเดียและเปอร์เซีย หรือเป็นปีที่เมืองบาบิโลนล่มสลาย แต่เป็นปีที่สองในช่วงเวลาที่ “กษัตริย์ดาริอัสแห่งมีเดีย” ได้ชัยชนะเหนือบาบิโลน หลังจากที่มันล่มสลาย ในช่วงปี กคศ 536 กษัตริย์ไซรัสจึงได้เป็นกษัตริย์ครอบครองอยู่เหนือดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นส่วนภายใต้การครอบครองของอาณาจักรบาบิโลนของพระองค์ พระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ไซรัสที่ให้มีการก่อสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ เป็นเครื่องหมายในการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ของพวกยิว (2 พงศาวดาร 36:22, 23; เอสรา 1:1-4; 4:3; 5:13-17; 6:3-5) พระราชกฤษฎีกานี้ได้รับการค้นพบที่ “เอกบาทานา” (Achmetha [R.V. marg., "Ecbatana"]) ในสถานที่ที่เป็นแคว้นหนึ่งของมีเดีย(เอสรา 6:2.)  


พงศาวดารได้ให้เรื่องราวที่บาบิโลนได้ถูกยึดครองโดยกษัตริย์ไซรัส ว่าพระองค์เป็นผู้จบสมัยของเนโบนิดัส (Nabonidus) เป็นผู้ปกครองซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเมืองบาบิโลน ในปี กคศ 538 มีการกบฎเกิดขึ้นในตอนใต้ของบาบิโล ขณะที่กองทัพของไซรัสได้เคลื่อนทัพของพระองค์มาทางตอนเหนือ ในเดือนมิถุนายนกองทัพของบาบิโลได้พ่ายแพ้ที่โอพิส (Opis) และในขณะนั้น ซิปปารา (Sippara) ได้เปิดประตูพระนครให้แก่พระองค์ โกบายาส (Gobryas)ได้ถูกส่งไปยังกรุงบาบิโลนที่ได้ยกแพ้โดยปราศจากการต่อสู้  ในเดือนตุลาคมกษัตริย์ไซรัสได้เสร็จไปถึงกรุงบาบิโลน และได้ประกาศนิรโทษกรรมทั่วทั้งแผ่นดินบาบิโลน ในช่วงนั้นเนโบนิดัส (Nabonidus) ผู้ได้หลบหนีไปได้ถูกจับตัวได้แต่ได้รับการปรนิบัติอย่างสมเกียรติ์ กษัตริย์ไซรัสในตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนือบาบิโลน พระองค์ได้ให้ประชากรของชนชาติต่างๆที่ตกเป็นเฉลยในบาบิโลได้กลับไปยังบ้านเมืองของตนและให้อัญเชิญพระของชนชาติของตนกลับไปด้วย ในท่ามกลางประชากรเหล่านั้นมีชนชาติยิวอยู่ด้วยแต่ไม่ได้อัญเชิญพระใดๆกลับไป แต่ได้นำเครื่องใช้ต่างๆในพระวิหารกลับไปด้วย

กฏ10 ข้อที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น (Ten Rules for Happier Living)

กฏ10 ข้อที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น (Ten Rules for Happier Living)PDFPrintE-mail


  1. Give something away (no strings attached). - รู้จักปล่อยบางสิ่งออกไปบ้าง (ไม่ยึดติด)
  2. Do a kindness (and forget it). - มีใจกรุณา (และให้อภัย)
  3. Spend a few minutes with the aged (their experience can be priceless guidance). - หาเวลาในการพูดคุยกับผู้สูงอายุ (ประสบการณ์ของท่านที่หาค่าไม่ได้จะช่วยแนะนำเรา)
  4. Look intently into the face of a baby (and marvel). - ใส่ใจกับการมองดูหน้าเด็กเล็กๆ (และจะปลาดใจ)
  5. Laugh often (it is life's lubricant). - หัวเราะบ่อยๆ (มันเป็นสิ่งหล่อลื่นชีวิต)
  6. Give thanks (a thousand times a day is not enough). - ขอบคุณ (สักพันครั้งต่อวันก็ไม่พอ)
  7. Pray (or you will lose the way). - อธิษฐาน (หรือคุณอาจจะหลงทาง)
  8. Work (with vim and vigor). - ทำงาน (อย่างกระฉับกระเฉง)
  9. Plan as though you will live forever (because you will). - วางแผนเหมือนกับว่าคุณจะมีอายุยืนยาว (เพราะว่าคุณจะเป็น)
  10. Live as though you will die tomorrow (because you will die on some tomorrow). - ใช้ชีวิตเหมือนกับว่าคุณจะตายวันพรุ่งนั้ (เพราะว่าคุณจะตายในวันหนึ่งของวันพรุ่งนี้)

SPITUAL QUOTIENT สิ่งที่ทุกคนควรมี!


คนโง่ย่อมย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด แต่คนฉลาดจะตกเป็นเหงื่อของคนแกล้งโง่ หากใครที่โง่ไม่เป็นย่อมไม่ค่อยก้าวหน้า แต่ใครที่โง่มากๆก็ยากที่จะเป็นใหญ่! คนภาคเหนือมีคำพูดว่า
“ล๊วกบ้านนอกบ่เต๊าสอกกอกในเวียง ล๊วกในเวียงบ่เปียงขี้คอก ล๊วกขี้คอกบ่เต๊าวอกขี้ยา ล๊วกขี้ยาบ่เต๊าฮาจะหื้อ” คำแปลจากไทยเหนือเป็นไทยกลางคือ “ล๊วก”
หมายถึงฉลาด หลักแหลม และมีไหวพริบดี แต่บางทียังหมายถึงเป็นพวกฉลาดแกมโกง(แบบศรีธนนชัย)อีกด้วย ที่เรียกว่า “วอกนัก” นั่นแหละ คือ คนฉลาดอยู่บ้านนอกชนบทก็สู้พวกที่อยู่ในเมืองไม่ได้ คนหลักแหลมที่อยู่ในเมืองก็สู้คนที่ติดอยู่ในคุกไม่ได้ คนฉลาดที่อยู่ในตะรางก็สู้พวกขี้ยา(ติดยาเสพติด)ไม่ได้ และพวกขี้ยาก็สู้ไม่ได้กับพวกที่ยืมเงินเขาแล้วบอกว่าจะใช้คืนให้ แต่ไม่ยอมคืนซักที!

อย่างแรก SQ - Spiritual Quotient
นี่พูดในแง่ของคริสเตียนก็คือ เป็นคนที่ประกอบด้วยผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า คือ “มีความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน” (กท. ๖.๒๒-๒๓) ลองกลับไปดูในพระคัมภีร์ว่า มีใครบ้างที่มี “ผลแห่งพระวิญญาณ” แน่นอน คนแรกคือพระเยซูคริสต์ คนต่อๆมาคือพวกอัครสาวกทั้งหลาย จนถึงปัจจุบันนี้ก็คือ นักเทศน์ ศิษยาภิบาล ผู้นำคริสตจักรและองค์กร รวมไปถึงพวกเราคริสเตียนทุกคนที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า
พระคัมภีร์พูดถึง “ผลของพระวิญญาณ” คือ karpos pneuma (คาร์พอส พะนืมา) มันไม่ใช่เป็นผลเดียวที่แยกกันอยู่ต่างหากเช่น มะม่วง ส้มโอ แต่หมายถึงมีลักษณะเป็นพวงอยู่รวมกันเช่นพวงองุ่น (มธ. ๒๑.๓๔) และทุกผลในพวงก็เจริญเติบโตขึ้นและคงอยู่ตลอดไป (มธ. ๒๑.๔๓, ยน. ๑๕.๑๖)
ขอให้เราดูรากศัพท์ในภาษากรีกสักเล็กน้อย ถึง “ผลของพระวิญญาณ” มีทั้งหมด ๙ ประการ คือ
๑.ความรัก agape (อากาเพ) เป็นผลแห่งพระวิญญาณอย่างแรก เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้จากเบื้องบน เป็นความรักอย่างแท้จริงและถาวรไม่หดหายหรือเสื่อมสลายด้วยกาลเวลาหรือสถานการณ์ ซึ่งจะดูลักษณะของความรักแท้ได้อย่างชัดเจนจากพระธรรม ๑ คร. ๑๓.๔-๗
๒.ความปลาบปลื้มใจ chara (คารา) เป็นผลแห่งพระวิญญาณ ซึ่งเป็นความชื่นชมยินดีที่เกิดขึ้นในชีวิตของคริสเตียนที่กลับใจบังเกิดใหม่แล้ว ซึ่งจะไม่มีใครแย่งชิงความปลื้มปีตินี้ไปจากเราได้ และนับวันจะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นจนเต็มเปี่ยม (ยน. ๑๖.๒๑-๒๒,๒๔)
๓.สันติสุข eirene (เอเรเน) เป็นผลแห่งพระวิญญาณ ซึ่งพระคัมภีร์แปลคำนี้ในหลายความหมายด้วยกัน เช่น สันติภาพหรือความสงบสุข (มธ. ๑๐.๑๓) เป็นมิตรไมตรีกัน (กจ. ๑๒.๒๐) เข้ากันได้เป็นอย่างดี คนไทยบอกว่า “เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย” (ฮบ. ๑๑.๓๑) นี่เป็นคำเดียวกันกับที่พระเยซูตรัสว่า “เรามอบสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขที่เราให้แก่ท่านนั้นไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย” (ยน. ๑๔.๒๗)
๔.ความอดกลั้น makrothumia (มาครอธูเมีย) เป็นผลของพระวิญญาณที่อยู่ในชีวิตของผู้เชื่อ หมายถึงความอดทนอดกลั้น (รม. ๒.๔) พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยไว้นาน (รม.๙.๒๒) เปาโลพูดถึงความไม่โกรธเร็ว(๒ คร. ๖.๖) และความอดทนนาน (อฟ. ๔.๒) เปโตรกล่าวถึงการงดโทษไว้ก่อน (๑ ปต. ๓.๒๐) หรือความพากเพียร (ฮบ.๖.๑๒)
๕.ความปรานี chrestotes (คะรสทอเทส) เป็นผลของพระวิญญาณที่หมายถึงกรุณาคุณ (รม. ๒.๔) การทำความดี (รม. ๓.๑๒) และพระเมตตาอันใหญ่หลวงของพระเจ้า (รม. ๑๑.๒๒) หากไม่มีสิ่งนี้ การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัว 
๖.ความดี agathosune (อากาธอสซูเน) เป็นผลของพระวิญญาณที่สำคัญ หมายถึงความดี ความประเสริฐ สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ชอบ ความเมตตากรุณา มีสัมมาอาชีพและไม่มีทีติ (อฟ.๕.๙, ๒ ธส. ๑.๑๑, รม.๑๕.๑๔) คำนี้คล้ายกับคำว่า kalos (คาลอส) ซึ่งในภาษาลาตินว่า honestus (ออนเนสทัส) หมายถึงความดี ความซื่อสัตย์ ความงาม ใจเมตตา น่านับถือ ความรัก น่าชื่นชมยินดีและเป็นของแท้
๗.ความซื่อสัตย์ pistis (พิสทิส) เป็นผลของพระวิญญาณคือความเชื่อ ความวางใจหรือไว้วางใจ (มธ. ๑๕.๒๘) ความแน่ใจ (กจ. ๑๗.๓๑) คำปฏิญาณ (๑ ทธ. ๕.๑๒) และหลักคำสอนที่เชื่อถือได้ (ยด. ๓) จริงใจและตรงไปตรงมา ไม่ใช่ลักษณะของ “ยิ้มซ่อนมีด” หรือปากว่าตาขยิบ
๘.ความสุภาพอ่อนน้อม prautes (พราอูเทส) ผลของพระวิญญาณแบบนี้คือใจที่สุภาพ (คส. ๓.๑๒) ความมีอัธยาศัยไมตรี (ทต. ๓.๒) และน้อมใจยอมรับพระวจนะของพระเจ้า (ยก. ๑.๒๑) พระคัมภีร์ว่าไงก็ว่างั้น ไม่พลิกแพลงตะแบงความเพื่อความชอบและประโยชน์ของตนเอง
๙.การรู้จักบังคับตน engkrateia (เองคราเทอา) เป็นผลของพระวิญญาณอับดับสุดท้าย แต่มีความสำคัญยิ่ง หมายถึงความอดกลั้นใจในทางเพศ (กจ. ๒๔.๒๕) เปโตรนำคำนี้มาใช้ในความหมายของการรู้จักเหนี่ยวรั้งตน (๒ ปต.๑.๖) พระวิญญาณจะเป็นผู้บอกแก่เราว่า อะไรควรและอะไรไม่ควร

อย่างที่สอง IQ – Intelligent Quotient
เป็นความฉลาดทางสติปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่คนของพระองค์ พระธรรมสุภาษิตกล่าวว่า “ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้” (สภษ. ๑.๗) สติปัญญามีสองด้านคือ ทางฝ่ายโลกนี้และทางฝ่ายจิตวิญญาณ ไอคิวเป็นความฉลาดทางด้านวิชาการ ความสามารถในการคิดใคร่ครวญและหาเหตุผล ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าการเลี้ยงดูและอาหารการกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างสติปัญญา มีการสำรวจพบว่าคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ไอคิวมีส่วนช่วยถึงร้อยละ ๒๐ ทีเดียว

อย่างที่สาม EQ – Emotional Quotient
เป็นความฉลาดทางด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นความสามารถที่จะล่วงรู้ถึงความรู้สึกของตนเองและของผู้คนที่อยู่รอบข้าง การล่วงรู้นี้เองทำให้มีการปรับเปลี่ยนความรู้สึก ยืดหยุ่น และสามารถควบคุมอารมณ์และการแสดงออกมาอย่างเหมาะสม และในทางที่ถูกที่ควรได้ สังเกตไหมมีหลายคนที่เฉลียวฉลาด แต่ไม่สามารถที่จะเข้ากับใครได้ เข้าที่ไหนวงแตกที่นั่น เพราะมีไอคิวแต่ขาดอีคิว!พ่อแม่คนไทยมักเน้นให้ลูกเป็นคนฉลาดอย่างเดียว เด็กจึงไปไม่ได้ไกล เข้าทำนอง “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” นั่นไง พอผู้คนไม่ยอมรับก็มาโวยวายโทษว่าเพราะ “สังคมมันเส็งเค็งเฮยซวย” แทนที่จะโทษตัวเอง (เฮ้อ เศร้า!) คนที่มีอีคิวจะรู้จักปรับเปลี่ยนท่าทีและความรู้สึกได้อย่างทันเวลา เป็นคนที่มองโลกในแง่บวกและสามารถสร้างสรรค์แรงบันดาลใจให้ตนเองได้ มีการวิจัยพบว่า ระดับอีคิวมีผลต่อความสำเร็จในการทำงานมากกว่าไอคิวถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เราเห็นว่าไม่มีใครที่มองโลกในแง่บวกเท่ากับโยบ ขณะที่เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดสิ้น โยบยังกราบลงถึงดินนมัสการพระเจ้า และกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทานและพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” ในเหตุการณ์ทั้งสิ้นนี้ โยบมิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้าเลย” (โยบ. ๑.๒๐-๒๒)คิดได้อย่างงี้สบายใจจัง เงินทอง ชื่อเสียงตำแหน่ง และอะไรๆในโลกนี้ มันมาได้มันก็ย่อมไปได้ เราไม่แปลกใจว่าทำไมในบั้นปลาย โยบสามารถกลับฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้และดีกว่าเดิมเท่าตัว!

อย่างที่สี่ MQ – Moral Quotient
เป็นความฉลาดทางด้านศีลธรรม จริยธรรม คนแบบนี้จะรู้จักผิดชอบชั่วดี มีความยับยั้งชั่งใจ (รู้จักพอ) มีความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมและประเทศชาติบ้านเมือง ไม่เห็นแก่ตัวหรือเอาแต่พรรคพวกของตนเอง พระคัมภีร์เน้นว่า “ให้มีความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกว่าตนชอบ และจากความเชื่ออันจริงใจ เพราะมีบางคนได้ผิดไปจากจุดประสงค์ เลี่ยงไปจากสิ่งเหล่านี้” (๑ ทธ. ๑.๕-๖) คนที่มีเอ็มคิวจะสามารถอยู่ร่วมทำงานกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความก้าวหน้าในทุกๆด้าน

อย่างที่ห้า CQ – Creativity Quotient
คือความเฉลียวฉลาดในความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการและคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เขาว่าคนไทยเราขาดแคลนซีคิวเอามากๆ พวกเราหลายคนมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ว่าขาดการต่อเนื่องและการสนับสนุน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเป็นแค่นักดัดแปลง นักลอกเลียนแบบเท่านั้น ไม่แปลกใจว่าทำไมเทปผีซีดีเถื่อน เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา และของพวกแบรนด์เนมจึงกลาดเกลื่อนเต็มเมืองไทยของเรา ถูกตำรวจจับและกวาดล้างเท่าไหร่ๆก็ไม่หมดซะทีในปฐมกาลบทที่ ๑-๓ พระเจ้าของเราเป็นสุดยอดของซีคิว จากความว่างเปล่าและไม่มีอะไรเลยในจักรวาล พระองค์ตรัสว่า “โลก แผ่นดิน น้ำ สัตว์ พืชและมนุษย์จงเกิดขึ้น” ทุกอย่างก็อุบัติขึ้นในพริบตา “และพระองค์ทรงเห็นว่าดี” ตรงกันข้ามกับมารซาตานที่มันเห็นว่าทุกสิ่งในโลกนี้ “ไม่ดี” แม้เมื่อมนุษย์หลงไปในความผิดบาป พระเจ้าก็ทรงเรียกพวกเขากลับมาและทำการปฏิรูปใหม่ “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (๒ คร. ๕.๑๗) ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ จึงเป็นคนที่มีซีคิวอย่างแท้จริง!

อย่างที่หก PQ – Play Quotient
คือความเฉลียวฉลาดในการเล่น และเรียนรู้จากการเล่นนั้นๆ สนุกสนาน ตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา รู้แพ้รู้ชนะ พร้อมทั้งมีความคิดสร้างสรรค์ในการเล่นด้วย เป็นคนที่รู้ว่าเวลาไหนควรเรียน เวลาไหนควรทำงาน เวลาไหนควรพักผ่อนและเวลาไหนควรเล่น บางคนแยกไม่ออก และยึดถือเอาการเล่นเป็นการพนัน world cup 2010 ฟุตบอลโลกที่อาฟริกาใต้ที่ผ่านมา ทำเอาหลายคนกระเป๋าฉีกไปตามๆกัน เพราะไปเชื่อและวางใจในเจ้าพอลปลาหมึกเพียงตัวเดียว แทนที่จะดูกีฬาให้เป็นกีฬาและมีความสุขอยู่กับเกมนั้น วันก่อนผมไปธุระที่ธนาคารแห่งหนึ่ง รู้สึกแปลกใจว่าวันนี้ทำจึงมีหน่วยรักษาความปลอดภัยเยอะเหลือเกิน เหลียวไปทางไหนก็พบแต่คนใส่ชุดสีน้ำเงินเข้ม ที่เอวมีวัตถุ(ปืน)ตุงออกมา ถึงบางอ้อเมื่อมีคนกระซิบว่า “ช่วงนี้มีการปล้นถี่มาก เพราะหาเงินไปใช้หนี้พนันบอล” เพื่อนคนหนึ่งบอกเราว่า “คนไทยมีการพนันอยู่ในสายเลือด ขนาดนกตัวหนึ่งบินมายังพนันกันเลยว่าตัวผู้หรือตัวเมีย” (ไม่ต้องฮาก็ได้) น่าศร้าใจที่ทุกวันนี้มีวัยรุ่นและเด็กคริสเตียนไม่น้อยที่ถ่างตาเล่นเกมส์ออนไลน์วันละหลายๆชั่วโมง (บางคนเล่นยันสว่าง) ถ้าเอาเวลาเหล่านั้นมารับใช้พระเจ้า ชีวิตของพวกเขาจะเป็นประโยชน์และรับพระพรอย่างมากทีเดียว

อย่างที่เจ็ด AQ – Adversity Quotient
คือความเฉลียวฉลาดในการแก้ปัญหาและเผชิญกับอุปสรรคที่เกิดขึ้น เอคิวเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยต่อการมีชีวิตและการทำงานทำการ เขาบอกว่าถ้าคุณมีไอคิว อีคิว แต่เอคิวมีน้อยจะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ยาก ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือต่อสู้กับมรสุมแห่งอุปสรรคที่มาขัดขวางได้ เอคิวจะทำให้คนๆนั้นมีความกระตือรือร้น มีความมุ่งมั่น และไม่ท้อแท้โดยง่าย คนที่มีเอคิวซึ่งมีพระเจ้าจะเป็นเหมือนกับนกอินทรีที่พระคัมภีร์กล่าวถึง “เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้า จะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบิน(ทะยาน)ขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งไปและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย” (อสย. ๔๐.๓๑)
จอห์น ออร์เบิร์ก[2]ได้กล่าวถึง “การทะยานขึ้นของนักอินทรี” ดังนี้
หนึ่ง การกระพือปีก คือการขยับปีกขึ้นลงถี่ๆ เพื่อจะรักษาความสมดุลไว้ สามารถต้านแรงโน้มถ่วงของโลกได้ เหมือนดังที่นกฮัมมิ่งเบิร์ด ทรงตัวอยู่ในอากาศได้นานที่สุด แต่ในขณะเดียวกันปีกของมันต้องทำงานย่างหนักหน่วง มิฉะนั้นจะตกลงไป
สอง การร่อนในอากาศ เมื่อนกอินทรีบินไปได้ไกลพอสมควรแล้ว มันจะไถลตัวในอากาศ แล้วแต่ว่ามีความต้องการอย่างไร บางครั้งจะเหินตัวขึ้นและบางทีจะดำดิ่งลง นี่เป็นการสิ่งที่ง่ายกว่าการกระพือปีก เพียงอาศัยกระแสลมที่พัดมาเท่านั้น แต่การกระทำอย่างนี้มันแย่ตรงที่ว่า “ไปไม่ได้ไกลเท่าไหร่” และมันจะร่อนอยู่ได้ไม่นาน ก็ทนแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ไหว  
สาม การทะยานขึ้นของนกอินทรี ออร์เบิร์กกล่าวว่า มีนกเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถทำได้เช่นนี้ นกอินทรีมีปีกที่แข็งแรงมาก มันจะยืนอยู่ที่ชะง่อนผารอเวลาที่จะจับกระแสลมร้อนซึ่งพัดขึ้นจากพื้นดิน นกอินทรีจะกางปีกและยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว บางครั้งมันจะทะยานบินขึ้นสูงมากจนลิบสายตา โดยไม่ต้องขยับปีกแม้แต่ครั้งเดียว มันไปได้อย่างรวดเร็วราว ๘๐ ไมล์ต่อชั่วโมง (สุดยอดจริงๆ) เราไม่แปลกใจว่าทำไมผู้เผยพระวจนะสมัยโบราณจึงเข้มแข็งนัก มีคาห์ให้คำตอบว่า “แต่สำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเต็มด้วยฤทธิ์เดช คือด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า” (มีคา. ๓.๘) แล้วเราก็ไม่ประหลาดใจที่อัครสาวกและคริสเตียนรุ่นแรกๆจึงร้อนรน ประกาศข่าวประเสริฐและตั้งคริสตจักรได้อย่างรวดเร็ว เพราะติดลมจากเบื้องบน “เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กจ. ๒.๓) ตามพระสัญญาของพระเจ้าคือ “เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเรา โปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง” (กจ. ๒.๑๗)คริสเตียนที่รัก

ให้เรามาแสวงหา spiritual quotient คือการประกอบด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณกันเถอะ.

9 คำถามที่ พระเจ้าไม่ถามคุณ

1) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณขับรถยี่ห้ออะไร? รุ่นอะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณเคยใช้รถนี้ รับ-ส่งใคร? กี่คน?

2) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... บ้านของคุณมีเนื้อที่เท่าไร? สร้างด้วยอะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณเคยให้ใคร?พักพิงในบ้านในยามที่เขาต้องการ

3) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเสื้อผ้ากี่ชุด? ยี่ห้ออะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้ให้เสื้อผ้ากับ คนที่ต้องการกี่คน? กี่ชุด?

4) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเงินเดือนเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้เงินเดือนนี้ มาด้วยวิธีใด? และใช้ทำอะไร

5) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีตำแหน่งงานอะไร?
แต่คุณได้ทำงานอย่างดียอดเยี่ยมเพียงใด?

6) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเพื่อกี่คน?
แต่พระองค์จะถามว่ามีกี่คนที่ยอมรับคุณเป็นเพื่อน?

7) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... เพื่อนบ้านของคุณเป็นอย่างไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านของคุณอย่างไร?
 

8) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีผิวสีอะไร?
แต่พระองค์จะถามว่าบุคลิกของคุณเป็นอย่างไร?

9) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณได้ประกาศกับคนกี่คน?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้สร้างคนเป็นสาวกของพระเยซูกี่คน?
 

7 ขั้นตอนที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน


PDFPrintE-mail
คัดลอกจาก คจ.ใจสมานเว็บบอร์ด
http://www.jaisamarn.org/1/newsboard/question.asp?QID=1252


ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเรื่องการอธิษฐานซึ่งพระเจ้าตอบ แปลอยู่ 2 วัน และเริ่มอธิษฐานตามวิธีการในหนังสือนั้น ซึ่งมีพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานตอนเช้า เรื่องปัญหาการเงินและอีกหลาย ๆ เรื่องในงานรับใช้ พอเวลา 11.47 น. ก็มีคนโอนเงินเข้าบัญชีมาให้ ขอบคุณพระเจ้า ขอพระนามพระเยซูคริสต์ได้รับเกียรติ



จึงขอแบ่งปันวิธีการอธิษฐานมาให้พี่น้องเพื่อเป็นพระพรต่อไป
ขั้นที่ 1 อธิบายว่าเราต้องการอะไรจากพระเจ้า
ขั้นที่ 2 ค้นหาพระคำพระเจ้าที่สัญญากับเราว่าจะตอบคำอธิษฐานของเราอย่างไร ยชว.1:8, รม.10:17
ขั้นที่ 3 ร้องขอพระเจ้าในสิ่งที่เราต้องการตามพระวจนะ มธ.7:7-8
ขั้นที่ 4 ให้เชื่อว่าเราได้รับตามที่อธิษฐานขอแล้ว มก.11:23-24, อฟ.1:3, รม.3:4
ขั้นที่ 5 ปฏิเสธความลังเลหรือการสงสัย ละให้ขับไล่ความสงสัยออกไปในนามพระเยซูคริสต์เจ้า ยน.16:23, ฟป.4:8
ขั้นที่ 6 รำพึงด้วยความสงบในจิตใจ ทบทวนพระสัญญาของพระเจ้า ไม่อธิษฐานขอซ้ำ แต่พูดทบทวนพระสัญญาตามพระวจนะด้วยความเชื่อ สภษ.4:20-22
ขั้นที่ 7 ขั้นตอนสุดท้าย อธิษฐานวิงวอนและขอบพระคุณพระเจ้า ฟป.4:6

กุญแจสำคัญคือ อธิษฐานในพระเยซูคริสต์ และให้เรามีความชื่นชมยินดีอยู่เสมอในการรอคอยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เรารอคอยพระเจ้าสูงสุด ซึ่งมีพระนามพระเยซูคริสต์อยู่ระหว่างพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และเรา มิใช่การจดจ่ออยู่ที่พระเยซูคริสต์ แต่จดจ่ดที่พระเจ้าสูงสุด โดยมีพระนามพระเยซูคริสต์ช่วยเปิดประตูสวรรค์ให้เราในฝ่ายวิญญาณก่อน 7 ขั้นตอน แล้วฝ่ายกายภาพหรือฝ่ายธรรมชาติก็จะตามมา
ตื่นเต้นจัง ใครนำไปปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว แบ่งปันมาเป็นพระพรให้พี่น้องคนอื่นด้วยนะค่ะ

ขอพระเจ้าอวยพร
Sandy Lauj

คัดลอกจาก คจ.ใจสมานเว็บบอร์ด
http://www.jaisamarn.org/1/newsboard/question.asp?QID=1252

1-10 กับการอธิษฐาน


1. แบ่งเวลาไว้อย่างน้อยวันละ 2-3 นาที ทุก ๆ วัน ไม่ต้องพูดอะไร ฝึกหัดคิดถึงพระเจ้า วิธีนี้จะช่วยให้จิตวิญญาณของคุณเปิดรับพระองค์

2. ให้อธิษฐานด้วยคำง่ายๆที่เป็นธรรมชาติ ทูลต่อพระเจ้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในความคิดของคุณ ไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์สูง สนทนากับพระเจ้าในภาษาของคุณ พระองค์ทรงเข้าใจ

3. อธิษฐานตลอดวัน ในทุกๆที่ เท่าที่เป็นไปได้ เช่น ในรถ หรือที่โต๊ะทำงานของคุณ ใช้วิธีการอธิษฐานสั้นๆ โดยการหลับตาลงครู่หนึ่ง ปิดทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างคุณออกไปให้หมด แล้วนึกถึงว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างคุณ วิธีนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าพระองค์ สถิต อยู่ด้วยตลอดเวลา

4. อย่าเอาแต่ขออย่างเดียว เมื่อคุณอธิษฐาน ควรที่จะขอบคุณพระเจ้าถึงพระพรที่พระองค์ได้ทรงประทานให้ด้วย และที่ สำคัญที่สุด การอธิษฐานคือการสนทนา เป็นการสื่อสาร 2 ทาง ไม่ใช่เป็นการพุดของเราฝ่ายเดียว เราควรรอคอยฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่มาถึงเราด้วย

5. อธิษฐานด้วยความเชื่อว่า คำอธิษฐานนั้นจะสำเร็จ และเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

6. อย่าคิดในทางลบขณะอธิษฐาน ควรคิดในทางดีเท่านั้น
7.  ต้องแสดงออกถึงการยอมรับน้ำ พระทัย พระเจ้า ทูลขอในสิ่งที่คุณต้องการ แต่ก็พร้อมที่จะรับคำตอบหรือสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้ ซึ่งอาจจะต่างจากสิ่งที่คุณขอ แต่ดีที่สุดสำหรับคุณ   

8. ฝึกหัดสร้างทัศนคติในการยอมมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทูลขอต่อพระองค์ให้ประทานความสามารถในการทำดีที่สุด แต่ด้วยความมั่นใจ ปล่อยให้ผลนั้นเกิดขึ้นตามน้ำ พระทัย พระเจ้า

9. อธิษฐานเผื่อบุคคลที่คุณไม่ชอบหรือคนที่ทำไม่ดีต่อคุณ ความขุ่นข้องหมองใจนั้นเป็นเครื่องกีดขวางพลังจิตวิญญาณอันดับหนึ่งเลยทีเดียว

10. ทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่คุณอธิษฐานเผื่อ ยิ่งคุณอธิษฐานเผื่อคนอื่นมากเพียงใด ผลของคำอธิษฐานก็จะย้อนกลับมาสู่คุณมากเท่านั้น

การอธิษฐานแบบห้านิ้ว
การอธิษฐานคือการสนทนากับพระเจ้า เราสามารถอธิษฐานโดยใช้ พระธรรมสดุดีหรือพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ ( เช่น คำอธิษฐานของพระเยซู ) เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้พบวิธี " อธิษฐานแบบห้านิ้ว " ที่ใช้เป็นแนวทางในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น

1. นิ้วหัวแม่มือ จะอยู่ใกล้ตัวที่สุด ดังนั้น ให้คุณอธิษฐานเผื่อคนที่ใกล้ชิดที่สุดก่อน นั่นก็คือคนที่คุณรัก ( ฟป .1:3-5)

2. นิ้วชี้ เป็นเครื่องชี้ทาง ให้คุณอธิษฐานเผื่อผู้ที่ต้องสอนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นครูสอนพระคัมภีร์ ผู้เทศนา และผู้ที่ต้องสอนเด็ก ๆ (1 ธส .5:25)

3. นิ้วกลาง สูงที่สุด ให้อธิษฐานเผื่อผู้มีอำนาจเหนือคุณ ทั้งผู้นำประเทศและผู้นำท้องถิ่น จนถึงผู้บังคับบัญชางานของคุณ (1 ทธ .2:1-2)

4. นิ้วนาง มักจะอ่อนแอที่สุด ดังนั้น ให้คุณอธิษฐานเผื่อผู้ที่กำลังประสบปัญหาหรือความทุกข์ยากลำบาก ( ยก . 5:13 -16)

5. นิ้วก้อย มีขนาดเล็กที่สุด ย้ำเตือนถึงคนที่ควรให้ความสำคัญน้อยที่สุด (เพราะโดยธรรมชาติเรามักจะนึกตัวเองก่อน) ให้อธิษฐานเผื่อสำหรับตัวคุณเอง ( ฟป .4:6 ,19 ) 
** สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ถ้อยคำที่เราอธิษฐาน แต่อยู่ที่หัวใจของเรา **
 http://www.t-hop.org/article/prayer.html


pray

12 บทกลอนแห่งการขอบพระคุณ

12 บทกลอนแห่งการขอบพระคุณPDFPrintE-mail

จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี

THOP
...........1............
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับนาฬิกาปลุก ทำให้ฉันต้องลุกขึ้นตื่นแต่เช้า
เพื่อเตรียมตัวไปทำงานทั้งหนักเบา เพื่อเข้าเฝ้าพระองค์ผู้ทรงนำ

............2.............
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเปลือกตา ที่เปิดได้ยากกว่าสิ่งไหนๆ
โดยเฉพาะตอนเช้าๆยิ่งหนักใจ แต่ถ้าปิดตลอดไปคงไม่ดี

............3............
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับแปรงสีฟัน ใช้ทุกวันมีฟันสวยสดใส
ขอบคุณที่แปรงฟันใช้ไม่ยากไป ง่วงขนาดไหน ยังใช้ได้ถูกวิธี

............4...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการอาบน้ำ แสนชุ่มฉ่ำร่างกายกระฉับกระเฉง
สระผม ฟอกสบู่พร้อมร้องเพลง จิตวิญญาณก็ครื้นเครงมีกำลัง

.............5...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเสื้อผ้า แม้ไม่มากเหลือคณาให้เลือกสรร
แต่มีใส่ทุกวันได้ไม่ซ้ำกัน คนนับพันยังต้องขอรอจากเรา

............6...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับรถติดๆ ได้หยุดคิดวันนี้พร้อมแค่ไหน
ได้สังเกตสิ่งรอบข้างก่อนผ่านไป ทนไม่ไหวลงเดินได้ร่างกายแข็งแรง

............7...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการงาน ทำให้ทุกวันมีความหมาย
คนไม่มีงานทำตั้งมากมาย จะลำบากหรือสบายตั้งใจทำ

............8...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับข้าวร้านเก่า กินแล้วกินเล่าจนแม่ค้าจำหน้าได้
อาหารเดิมๆเลยไม่รู้จะกินอะไร ช่วยให้ผอมลงได้ตั้งหลายโล

.............9..........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้คน ผ่านเวียนวนดีไม่ดีมีหลากหลาย
ได้บทเรียนช่วยเปลี่ยนภายในใจ ฝึกฝนให้รู้จักรักทุกคน

...........10..........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสันติสุข เหนือความทุกข์ที่เข้ามาทับถม
มีปัญหามากมายยังชื่นชม จะยิ้มข่มเหล่ามารที่โจมตีเรา

............11...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการพักผ่อน ทั้งเตียงนอนหมอนผ้าห่มแสนอบอุ่น
กลิ่นตอนหลับคราบน้ำลายที่เคยคุ้น นับพระคุณที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน

...........12...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันพรุ่งนี้ สิ่งดีๆที่รออยู่ข้างหน้า
ขอทรงปกป้องในยามนิทรา ทุกสิ่งที่ประทานมาขอบพระคุณ

จงขอบพระคุณในทุกกรณี
เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า
ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย

1เธสะโลนิกา 5 : 18